คุณทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์(กลาง) ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทพฤกษาฯพร้อมด้วยคุณประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต(ที่1ขวามือ) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพรีเมียมและคุณปิยะ ประยงค์(ที่1ซ้ายมือ)ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจValue ร่วมแถลงแผนการดำเนินธุรกิจปี2560ตั้งเป้ายอดขายและโอนกว่า5หมื่นล้านบาท พร้อมเตรียมเงินลงทุนรวมประมาณ 1.8หมื่นล้านบาท
หลังจากที่ได้ปรับโครงสร้างองค์กรเป็นบริษัทโฮลดิ้งภายใต้ชื่อบมจ.พฤกษาโฮลดิ้ง (PSH) ในช่วงเดือนธันวาคม2559 ในปีนี้ก็พร้อมที่จะเดินหน้าเต็มที่ด้วยเป้าหมายยอดรายได้ที่ระดับ1แสนล้านบาท “ แสนล้านบาทจะบรรลุเป้าหมายหรือไม่ผมว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเราแต่เราก็มีเป้าหมายในธุรกิจของเรา”…ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พฤกษาฯกล่าวพร้อมกับได้วางโรดแมพธุรกิจใหม่จากเดิมเป้ารายได้ 1 แสนล้านบาทในปี2560 แต่ด้วยเพราะสถานการณ์ต่างๆไม่เอื้ออำนวยทั้งในประเทศและต่างประเทศทำให้ต้องหยุดการลงทุนในต่างประเทศไว้ พร้อมได้ขยับเป้า 1 แสนล้านบาทไปอีก 5 ปีข้างหน้าหรือเป็นปี 2564
ในปี2560บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 52,900ล้านบาทยอดโอน 50,200ล้านบาทเติบโตจากปี2559 อยู่ที่19%และราว 9%(ตามลำดับ) ส่วนยอดขายรอโอน (Backlog) ปัจจุบันมีจำนวน 24,000 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้บางส่วนในปี 2560-61 โดยในปีนี้บริษัทจะมีคอนโดฯสร้างเสร็จทยอยโอน 4 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 5,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ นอกจากเป้ารายปีที่ต้องเติบโตแล้วยังมีเป้าหมายใหญ่รายได้ที่ 1 แสนล้านบาทรวมถึงเพื่อความคล่องตัวในการทำงานรองรับการเข่งขันและการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ พฤกษาฯได้ปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งไว้ผ่าน 3 กลุ่มธุรกิจ ดังนี้
1.กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท หรือที่เรียกว่า กลุ่มธุรกิจ Value คิดเป็นสัดส่วน 60%
2.กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท-พรีเมี่ยม คิดเป็นสัดส่วน 30%
3.กลุ่มธุรกิจใหม่ (New Business) คิดเป็นสัดส่วน 10%
New Business คาดว่าน่าจะเปิดเผยในรายละเอียดเกี่ยวกับธุรกิจใหม่ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์นี้ และหนึ่งในธุรกิจใหม่ที่พฤกษาฯให้ความสนใจก็คือ ธุรกิจโรงพยาบาล เป็นต้นโดยจะเน้นการลงทุนในประเทศเป็นหลัก ซึ่งจะตั้งงบลงทุนเฉลี่ยปีละ 1,000-2,000 ล้านบาท โดยคาดว่าในช่วง 5 ปีแรก รายได้จากธุรกิจใหม่จะมีสัดส่วนไม่ถึง 10% ของรายได้รวม
หากพิจารณาถึงสัดส่วนของ3กลุ่มธุรกิจพฤกษาฯยังมีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นกุญแจหลักโดยแผนกลยุทธ์การดำเนินงานในปีนี้จะยังคงเน้นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้ระดับกลาง-ล่าง เพราะเป็นตลาดที่ยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและขยายฐานกลุ่มลูกค้าระดับบนมากขึ้น เพื่อให้ครอบคลุมในทุกเซ็กเมนต์ในปีนี้ตั้งเป้าเปิดตัวโครงการใหม่ 72 โครงการ มูลค่ารวม 60,800 ล้านบาท แบ่งกลุ่มธุรกิจแวลู (บ้านแนวราบระดับราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท คอนโดมิเนียมราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท) จำนวน 66 โครงการ มูลค่า 50,900 ล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์เฮาส์ 39 โครงการ, บ้านเดี่ยว 20 โครงการ, คอนโดมิเนียม 7 โครงการ และโครงการพรีเมียม 6 โครงการ มูลค่า 9,900 ล้านบาท โดยปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายอีก 176 โครงการ
ขณะที่กลุ่มธุรกิจพรีเมียม มีแผนการเปิดโครงการจำนวน 6 โครงการ มูลค่า 9,900 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวสูง 5 โครงการ มูลค่า 8,800 ล้านบาท และแนวราบ 1 โครงการ มูลค่า 1,100 ล้านบาทโดยประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท-พรีเมียม เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ ปี 2560 ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล คาดว่าจะเติบโตจากปีที่ผ่านมาประมาณ 5% มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 3.79 แสนล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนโครงการลงทุนด้านการคมนาคมของภาครัฐบาล มูลค่า 1.77 ล้านล้านบาท
ในปีนี้จะเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตั้งแต่โครงสร้างทางธุรกิจ การแข่งขันของผู้ประกอบการ รวมไปถึงรูปแบบการพัฒนาโครงการ โดยตลาดพรีเมียมเป็นกลุ่มธุรกิจใหม่ที่พฤกษาฯ จะเข้าไปชิงส่วนแบ่งการตลาด เนื่องจากมีมูลค่าตลาดเพิ่มมากขึ้นทุกปี ปัจจุบันสัดส่วนของตลาดพรีเมียมอยู่ที่ประมาณ 22-32% ของตลาดรวมพฤกษาฯตั้งไว้สัดส่วนรายได้จากสินค้ากลุ่มพรีเมียม 30% ของพอร์ตรายได้ภายใน 3-5 ปี จากปัจจุบันมีเพียง 10% ของพอร์ตและการขยายสินค้ากลุ่มพรีเมียมเพิ่มมากขึ้นรวมถึงต้นทุนราคาที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลให้ราคาบ้านเฉลี่ยของพฤกษาขยับมาอยู่ที่กว่า 3 ล้านบาทจากที่ก่อนหน้ามีราคาเฉลี่ยอยู่ 2-3 ล้านบาท
ด้าน ปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดของกลุ่มธุรกิจ Value มีส่วนแบ่งตลาด คิดเป็น 70-80% ของมูลค่าตลาดรวม โดยพฤกษาฯ ถือครองส่วนแบ่งตลาดเซ็กเมนต์ Value มากกว่า 15% ของตลาดรวมทั้งหมดสำหรับกลยุทธ์และแผนงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในปีนี้ มี 3 แนวทาง
โดยแนวทางแรก คือ การบริหารรอบธุรกิจให้สั้น ซึ่งปัจจุบันระยะเวลาจาก ลูกค้าจองถึง โอนกรรมสิทธิ์ มีระยะเวลา ในกลุ่มทาวน์เฮาส์ 49 วัน บ้านเดี่ยว 91 วัน คอนโดมิเนียมไม่เกิน 8 ชั้น ใช้ระยะเวลา 425 วัน และ คอนโดมิเนียมอาคารสูง ใช้ระยะเวลา 754 วัน
แนวทางที่ 2 คือ แผนการเปิดโครงการใหม่จำนวน 72 โครงการ มูลค่ารวม 60,800 ล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์เฮาส์ 39 โครงการ บ้านเดี่ยว 20 โครงการ คอนโดมิเนียม 7 โครงการ และโครงการพรีเมียม 6 โครงการ นอกจากนี้ยัง มีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายอีก 176 โครงการ
และแนวทางที่ 3 คือการใช้กลยุทธ์บ้านพร้อมอยู่ ในการบริหารจัดการโครงการทาวน์เฮาส์ และบ้านเดี่ยว ซึ่งมั่นใจด้วยกลยุทธ์ 3 แนวทางนี้ จะทำให้บริษัทฯ บรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งไว้
บริษัทได้ตั้งงบลงทุนซื้อที่ดินไว้ที่ 16,000 ล้านบาทเพื่อพัฒนาโครงการใหม่ในปีถัดไป และงบลงทุนสำหรับธุรกิจใหม่อีกประมาณ 2,000 ล้านบาท