ฮาบิแทท กรุ๊ป จ่อแต่งตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯปี63 หวังนำเม็ดเงินขยายโครงการหลังประกาศรุกโครงการในกทม.สัดส่วน70% เปิดแผนปี61 ผุด 5 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 4,000 ล้านบาท ทั้งในย่านซีบีดี-พัทยา ประเดิมบ้านหรูซูเปอร์ลักชัวรี่“เลอรอย” ซอยร่วมฤดี ราคา108-120 ล้านบาท พร้อมเปิดพรีเซลก.พ.นี้ ตอกย้ำมั่นใจตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนในปี 2561 มีทิศทางเป็นบวก เตรียมโรดโชว์ต่างประเทศเพิ่มสัดส่วนลูกค้าต่างชาติในพอร์ตเป็น 30% ตั้งเป้ายอดขายแตะ 3,000 ล้านบาท
นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่าจากการที่บริษัทมีแผนรุกพัฒนาโครงการในพื้นที่ซีบีดี กรุงเทพฯมากขึ้นเมื่อปี2560 ที่ผ่านมา และนับจากนี้ก็จะเริ่มรุกหนักขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะตลาดคอนโดฯย่านใจกลางเมืองที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากเดิมที่ผ่านมาจะเน้นการพัฒนาโครงการที่เจาะกลุ่มเป้าหมายนักลงทุนในพื้นที่พัทยา และใช้เม็ดเงินลงทุนของบริษัทเป็นหลัก แต่การขยายตัวเข้ามาพัฒนาโครงการในตลาดกรุงเทพฯมากขึ้น ในสัดส่วน 70% และพัทยา 30% ก็ต้องใช้เม็ดเงินในการลงทุนที่มากขึ้นเช่นกัน ซึ่งทำให้มีข้อจำกัดเรื่องเม็ดเงินลงทุน ดังนั้นในปี 2563 จึงมีแผนนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อที่จะสามารถนำเม็ดเงินมาขยายโครงการได้มากขึ้น รวมไปถึงการมีแหล่งเงินที่เหมาะสมจะทำให้แข่งขันกับผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดได้มากขึ้น โดยคาดว่าตามแผนในปีดังกล่าว บริษัทจะมีสินค้ารอบันทึกเป็นรายได้(Backlog)เกือบ10,000 ล้านบาท ซึ่งในแต่ละปีมูลค่าโครงการที่เปิดดำเนินการจะไม่ได้เป็นตัวเลขที่หลายเท่าตัว แต่จะมีมูลค่าโครงการที่เหมาะสมกับภาวะตลาด
สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทในปี2561 จะพัฒนาโครงการใหม่รวมทั้งสิ้น 5 โครงการ รวมมูลค่า 4,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการในกรุงเทพฯ 4 โครงการ และพัทยา 1 โครงการ ประกอบด้วย โครงการ “เลอรอย” (LEROY Ruamrudee) ในซอยร่วมฤดี ที่เดิมที่เดิมมีแผนจะพัฒนาเป็นคอนโดฯ สูง 8 ชั้น บนพื้นที่เกือบ 200 ตารางวา ราคา 200,000 บาท/ตารางเมตร หรือยูนิตละ 6-12 ล้านบาท มูลค่าโครงการประมาณกว่า 300 ล้านบาท ที่เตรียมจะเปิดตัวในปี 2560 แต่มองว่าทำเลดังกล่าวมีการแข่งขันพัฒนาคอนโดฯระดับล้กชัวรี่ค่อนข้างสูง โดยราคาขายคอนโดฯตั้งแต่ชิดลม-เพลินจิต ราคาอยู่ที่กว่า 300,000 บาท/ตารางเมตรขึ้นไป จึงปรับแผนเป็นการพัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว ระดับซูเปอร์ลักชัวรี่แทน สูง 7 ชั้น ขนาด 60 ตารางวา จำนวน 2 ยูนิต ระดับราคาประมาณ 108-120 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 250 ล้านบาท โดยจะเปิดพรีเซลในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 นี้
และอีก 3 โครงการเป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ ภายใต้แบรนด์“วาลเด้น” (Walden) ราคาเฉลี่ย 170,000-220,000 ล้านบาท รวมมูลค่า 2,500 ล้านบาท โดยเริ่มจากทำเลซอยสุขุมวิท 23 เป็นคอนโดฯโลว์ไรส์ ลักชัวรี่ จำนวน 83 ยูนิต ราคา 5.9-11 ล้านบาท มูลค่า 700 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดพรีเซลในเดือนกุมภาพันธ์ นี้เช่นกัน ส่วนอีก 2 ทำเลอยู่ซอยสุขุมวิท 39 จะเปิดพรีเซลในไตรมาส2/2561 และสุขุมวิท 31 จะเปิดพรีเซลในไตรมาส3/2561
“ทำเลสุขุมวิทยังเป็นถนนเส้นเอกลักษณ์พิเศษของกรุงเทพฯ ที่มีแนวรถไฟฟ้าวิ่งเกาะกลางตลอดความยาวของถนนตั้งแต่หัวถนนช่วงทางด่วนเพลินจิตไปจนสุดเขตกรุงเทพมหานคร ทำให้เป็นย่านที่ดินราคาสูง โดยราคาคอนโดมิเนียมในย่านสุขุมวิทเฉลี่ยอยู่ที่ตารางเมตรละกว่า 200,000 บาทขึ้นไป แต่โครงการของบริษัทราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 170,000-220,000 บาท/ตารางเมตร ซึ่งจะมีโมเดลธุรกิจที่แตกต่างจากพัทยาเล็กน้อย โดยมีทั้งรูปแบบซื้อเพื่อลงทุนและซื้อเพื่อพักอาศัย แต่จะเน้นที่รูปแบบของการลงทุนเป็นหลัก โดยบริษัทฯ จะมีการบริหารจัดการการเช่าและอำนวยความสะดวกเรื่องการบำรุงรักษาห้องให้ผ่านบริษัท ฮาบิแทท ฮอสพิทอลลิตี้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือที่มีทีมงานมืออาชีพและมีประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการการเช่าเป็นผู้ดูแล และอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุน”นายชนินทร์ กล่าว
ส่วนโครงการสุดท้ายเป็นคอนโดฯเพื่อการลงทุนแบรนด์ใหม่ย่านวงศ์อมาตย์ มูลค่าโครงการกว่า 1,200 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเลือกเชนมาบริหารโครงการ จึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
ปัจจุบันซัพพลายคอนโดฯในกทม.เฉลี่ยจะมีประมาณ 60,000-70,000 ยูนิต/ปี ในขณะที่ซัพพลายในย่านซีบีดีมีเพียง 7,000-8,000 ยูนิต/ปี ซึ่งการแข่งขันจะมีน้อยกว่า เมื่อเทียบกับโซนรอบซีบีดีที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูง และพบว่าอัตราการเข้าพักในพื้นที่ใจกลางเมืองยังมีสูงถึง 90% ดังนั้นโอกาสในการลงทุนซื้อคอนโดฯในเมืองเพื่อปล่อยเช่ายังมีสูง เพราะแนวโน้มราคาที่ดินเริ่มปรับตัวสูงขึ้นทุกปีและหาซื้อได้ยากขึ้น ปัจจุบันราคาพุ่งสูงถึง 3.2 ล้านบาท/ตารางวา จึงทำให้คอนโดฯมีมูลค่าที่สูงขึ้นทุกปีเช่นกัน
ทั้งนี้ทิศทางอสังหาริมทรัพย์ของไทยในปี 2561 จะยังคงเติบโตในทิศทางบวกมากขึ้น จากปัจจัยเสริมหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นทำเลยุทธศาสตร์ที่บริษัทฯ เลือกลงทุนทั้งในพัทยา และโซนซีบีดีกรุงเทพฯ มีการเติบโตและมีดีมานด์สูงต่อเนื่อง รวมถึงนโยบายส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐที่ยังคงดึงดูดความสนใจของนักลงทุนและผู้ประกอบการต่างๆ อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นโครงการขยายเส้นทางรถไฟฟ้า หรือโครงการส่งเสริมการลงทุนในเขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) รวมถึงการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะสิงคโปร์ จีน ฮ่องกง และไต้หวัน ซึ่งเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ จึงเป็นประเทศเป้าหมายของบริษัทฯ ในการเตรียมโรดโชว์โครงการของบริษัทฯ ในประเทศดังกล่าว ตลอดจนเพิ่มสัดส่วนลูกค้าต่างชาติในพอร์ตของปีนี้เพิ่มขึ้นจาก 15% เป็น 30% อีกด้วย
และตั้งเป้ายอดขายในปี 2561 เติบโต 3,000 ล้านบาท เติบโต 131% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมามียอดขาย 1,298 ล้านบาท และสามารถมีรายได้จากค่าเช่าเพิ่มขึ้น 20% ในอีก 3 ปีข้างหน้านี้(2561-2563) เพื่อสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ชื้อตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ โดยในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาบริษัทมีโครงการที่พัฒนาแล้วรวม 11 โครงการ แบ่งเป็นโครงการเก่า 6 โครงการ 3,700 ล้านบาท และ 5 โครงการใหม่ปีนี้ 4,000 ล้านบาท