จับตาICOเครื่องมือการเงินใหม่ธุรกิจอสังหาฯอนาคต

  • Post author:
You are currently viewing จับตาICOเครื่องมือการเงินใหม่ธุรกิจอสังหาฯอนาคต

ชี้ตลาดหุ้นไทย การลงทุนไม่หวือหวา เทียบกับลงทุนในแอสเสท ราคาปรับสูงกว่า ส่วนหุ้นกลุ่มอสังหาฯ ราคาค่อนข้างนิ่ง แข่งจ่ายปันผล อนาคตจะเห็นอสังหาฯระดมทุนรูปแบบ ICO แทนการออกหุ้นไอพีโอ

 


ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท ทรีนิตี้ จำกัด เปิดเผยในงานงานสัมมนา “อาษา เรียล เอสเตท ฟอรั่ม 2018”(ASA Real Estate Forum2018)ภายใต้หัวข้อ “แนวโน้มตลาดทุนหมวดอสังหาริมทรัพย์”
ว่าสถานการณ์ตลาดหุ้นโลกปัจจุบันให้ผลตอบแทน 40% การเคลื่อนย้ายเงินทุน (ฟันโฟล์) 7,000 ล้านเหรียญ เงินเฟ้อเริ่มตามมา แต่ตลาดหุ้นไทยเชื่อว่าการลงทุนจะไม่หวือหวา หากเทียบกับการลงทุนในแอสเสทโดยตรงอัตราการปรับขึ้นสูงกว่า เช่น ล่าสุดการขายที่ดินสถานทูตอังกฤษ ราคาวิ่งไปที่ 2 ล้านบาท/ตารางวา จะเห็นว่าราคาปรับตัวขึ้นไปสูงมาก

 

“ราคาหุ้นในตลาดบ้านเราปรับตามประเภทธุรกิจตอนนี้ไทยเป็นเซอร์วิสเบส หุ้นที่อยู่ในภาคบริการปรับตัวขึ้นมากกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมและเรียลเซ็กเตอร์ หุ้นในกลุ่มอสังหาฯราคาไม่สูงเพราะการลงทุนใหม่มีไม่มากตลาดค่อนข้างนิ่ง ราคาหุ้นอสังหาฯจึงค่อนข้างนิ่ง เงินทุนต่างชาติไม่เข้า ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนของคนไทยด้วยกัน”ดร.วิศิษฐ์ กล่าว

 

 

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม กรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายงานวิจัย บริษัท หลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันคอนโดฯขนาดใหญ่มีการร่วมทุนกับต่างประเทศมูลค่าถึง 1.17 แสนล้านบาท ทำให้ไม่ต้องก่อหนี้สินเพิ่มเติม ถือเป็นเครื่องมือทางการเงินอีกช่องทางหนึ่ง ที่ทำให้ผู้ประกอบการเติบโต แต่จะมีความยากในด้านการตรวจสอบตัวเลขการเติบโต และในอนาคตจะเห็นอสังหาฯอีกรูปแบบหนึ่งคือ ICO ที่ระดมทุนด้วยเงินดิจิทัล (COIN)แทนการออกหุ้นไอพีโอ ซึ่งขณะนี้เริ่มมีผู้ประกอบการบางรายในบางอุตสาหกรรมเริ่มนำรูปแบบนี้มาใช้แล้ว

 

สำหรับหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมจะเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากการสนับสนุนโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)ของภาครัฐ ปัจจุบันราคาประเมินที่ดินในพื้นที่EEC มีการปรับตัวขึ้นสูง โดยเฉพาะชลบุรีเพิ่มขึ้น 22% และระยอง12% ซึ่งยังไม่รวมถึงระบบสาธารณูปโภคของภาครัฐที่จะเข้าไป และราคามีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น ยำกัด(มหาชน)หรือ AMATA และบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือWHA จะมีความได้เปรียบมากสุด เพราะมีที่ดินมากและต้นทุนต่ำ แม้ว่าจะมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้าไปทำตลาดก็ทำให้บรรยากาศการแข่งขันดีขึ้น แต่ทั้งนี้ต้องมองในด้านของมูลค่าหุ้น(NAV)ของแต่ละบริษัท ซึ่งจะเห็นว่าผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมจะมีความได้เปรียบกว่า

 

ในกรณีหุ้นอสังหาฯ พบว่าหลายบริษัทเริ่มหันมาสร้างผลตอบแทนในรูปแบบปันผล อย่างเช่น บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่นจำกัด(มหาชน)หรือSC,บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน)หรือSIRI และบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน)หรือ PS ที่ให้น้ำหนักในเรื่องการให้เงินปันผลที่มากขึ้น เนื่องจากอัตราการเติบโตของราคาหุ้นชะลอตัวจะเห็นว่าอัตราปันผลจะสูงกว่าราคาหุ้น

 

ด้านดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนแบบเน้นคุณค่า กล่าวว่า สถานการณ์หุ้นในกลุ่มอสังหาฯ ค่อนข้างนิ่งราคาหุ้นกลุ่มนี้ก็ไม่ค่อยวิ่งถือเป็นกลุ่มหุ้นที่ราคาต่ำ ที่ผ่านมาผู้ประกอบการรายใหญ่จะมีฐานรายได้ที่ใหญ่ไปค่อนข้างมาก เมื่อพัฒนามาถึงระดับหนึ่งก็เปลี่ยนโครงสร้างรายได้ การเติบโตเริ่มชะลอตัว ดังนั้นส่วนใหญ่จึงหันมาขยายธุรกิจที่สร้างรายได้ระยะยาวในธุรกิจอื่นมากขึ้น เช่น เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ อาคารสำนักงาน โรงแรม โรงพยาบาล เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันมีให้เห็นแล้วในธุรกิจของผู้ประกอบการรายใหญ่หลายราย

 

“หุ้นในกลุ่มอสังหาฯก็มีความน่าสนใจเพราะถึงแม้ราคาจะไม่สูงแต่จ่ายปันผลค่อนข้างดี หลายบริษัทจ่ายปันผล 5-6% ถามว่าหุ้นกลุ่มนี้ดีหรือไม่ต้องบอกว่าดีในระดับหนึ่ง สามารถลงทุนได้เช่นกัน เชื่อว่าจะไม่เกิดวิกฤติเหมือนปี 2540 ต่างชาติรุกลงทุนอสังหาฯไทยคึกคัก”ดร.นิเวศน์ กล่าวในที่สุด

toppercool

CEO,Prop2morrow Blogger อสังหาฯ , นักการตลาดดิจิตัล สาย Content marketing