แสนสิริ จับมือ บีซีพีจี นำระบบแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้ารูปแบบใหม่ “เพียร์ทูเพียร์” ผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชน นำร่องในโครงการทาวน์สุขุมวิท 77 (T77) ก่อนจะเริ่มมีการซื้อขายอย่างเป็นทางการภายในเดือนกันยายนนี้ อนาคต3-5 ปีพร้อมติดตั้ง 30 โครงการแนวราบแสนสิริ มั่นใจช่วยลูกบ้านประหยัดค่าไฟได้15% เตรียมเจรจาBCPG สร้างแพลตฟอร์มช่วยลูกบ้านหาแหล่งเงิน
นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน)หรือSIRI เปิดเผยว่า ล่าสุดบริษัทได้เซ็น MOU กับบริษัท บีซีพีจี จำกัด(มหาชน)หรือBCPG ในการวางระบบพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์แบบเพียร์ทูเพียร์ (Peer-to-Peer)โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในที่พักอาศัย ด้วยการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในโครงการที่พักอาศัยของแสนสิริ จำนวน 30 โครงการ ภายใน 3-5 ปีนี้ โดยจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็น 2-5 เมกะวัตต์ ซึ่งทาง BCPG จะเป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมด จากปัจจุบันที่ได้เริ่มดำเนินการติดตั้งไปแล้วในโครงการ T77 จำนวน 4 โครงการ ได้แก่ คอมมูนิตี้มอลล์ ฮาบิโตะ, โรงเรียนนานาชาติ, โรงพยาบาลฟัน, พาร์ค คอร์ท คอนโดมิเนียม กำลังการผลิต 600 กิโลวัตต์ และยังอยู่ระหว่างการดำเนินการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเพิ่มเติมอีก 3 โครงการ ได้แก่ โรงงานพรีคาสท์, สปอร์ตคลับของบ้านเดี่ยวโครงการหนึ่ง และโรงเรียนสาธิตพัฒนา รามอินทรา ซึ่งการลงทุนติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป และการวางระบบทาง BCPG จะเป็นผู้ลงทุนทั้งหมด และทางโครงการของแสนสิริฯจะเป็นผู้ซื้อไฟของ BCPG ซึ่งถูกกว่าอัตราการค่าไฟปกติประมาณ 15%
“ไฮไลท์สำคัญคือการที่ลูกบ้านจะได้เป็นผู้ผลิตและผู้บริโภคในเวลาเดียวกันในฐานะ Prosumer เป็นครั้งแรก ทำให้เราสามารถสร้างระบบการแลกเปลี่ยนใหม่ในตลาดพลังงานที่ก้าวข้ามข้อจำกัดเดิม ๆ โดยประโยชน์ที่จะเกิดอย่างชัดเจนแก่ลูกบ้านแสนสิริที่อาศัยในโครงการที่มีการวางระบบนี้คือสามารถประหยัดค่าไฟฟ้า โดยไฟฟ้าสะอาดทุกหน่วยที่ผลิตได้จะช่วยประหยัดค่าไฟต่อหน่วยได้ถึง 15% และยังสร้างความภูมิใจให้ลูกบ้านจากการมีส่วนร่วมในดูแลสิ่งแวดล้อมโดยการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ จากกำลังการผลิตพลังงานสะอาดถึง 20% ของปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ใช้ทั้งหมดในโครงการ T77 ช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 530 ตันต่อปีโดยประมาณ หรือเท่ากับการปลูกป่า จำนวน 400 ไร่”นายอุทัย กล่าว
และในอนาคตบริษัทฯยังมีแผนที่จะติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในโครงการใหม่ๆของแสนสิริอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นโครงการแนวราบเป็นหลัก เพราะคอนโดฯมีหลังคาน้อยไม่สามารถติดตั้งได้ โดยโครงการที่ติดตั้งส่วนใหญ่จะเป็นบ้านเดี่ยว ส่วนทาวน์เฮาส์จะเริ่มนำร่องติดตั้งบนหลังคาของลูกบ้านในโครงการ”สิริ เพลส สุขสวัสดิ์” โดยที่บริษัทจะผลักดันการใช้พลังงานสะอาดในโครงการมากขึ้น ซึ่งมองว่าเป็นการสร้างมูลค่าให้กับโครงการ ประกอบกับการทำระบบบล็อกเชนทำให้เกิดการเทรดดิ้งไฟฟ้าได้ระหว่างแต่ละโครงการของแสนสิริ ทำให้มีรายได้เสริมเข้ามา จากปกติที่การซื้อบ้านหนึ่งหลังลูกบ้านจะมีค่าใช้จ่ายต่างๆตามมา โดยเฉพาะค่าซ่อมแซมบ้าน ที่เพิ่มมานอกเหนือจากการผ่อนชำระค่าบ้านรายเดือน
สำหรับโครงการเดิมของแสนสิริที่ได้มีการพัฒนาไปแล้ว และมีความต้องการจะเข้าร่วมการติดตั้งโซลาร์รูฟในโครงการ ทางแสนสิริก็มีแผนจะพัฒนาเป็นแพลตฟอร์มในอนาคตต่อไป ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจากับ BCPG ในการที่จะช่วยลูกบ้านจัดหาแหล่งเงินสำหรับติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป เนื่องจากปัจจุบันการติดตั้งแผงโซลาร์รูฟท็อป 1 หลัง จะใช้เงินลงทุนประมาณ 100,000 บาท
“BCPGและแสนสิริได้ติดตั้งระบบแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชนแล้ววันนี้ที่โครงการทาวน์สุขุมวิท 77 (Town Sukhumvit 77) หรือที 77 (T77) ก่อนจะเริ่มมีการซื้อขายอย่างเป็นทางการภายในเดือนกันยายนของปีนี้ โดยระบบพลังงานเซลแสงอาทิตย์บนหลังคามีกำลังการผลิตติดตั้ง 635 กิโลวัตต์ แบ่งสัดส่วนการใช้เป็น 54 กิโลวัตต์สำหรับฮาบิโตะมอลล์ (Habito Mall) ซึ่งเป็นไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้มอลล์ภายในโครงการ 413 กิโลวัตต์สำหรับโรงเรียน นานาชาติบางกอกเพรพ และ 168 กิโลวัตต์ สำหรับพาร์ค คอร์ท คอนโดมิเนียม รวมถึงโรงพยาบาลฟัน โรงงานผลิตแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปของแสนสิริ ด้วยกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้า 150 กิโลวัตต์” นายอุทัย กล่าว
ด้านนายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด(มหาชน)หรือBCPGกล่าวว่า การร่วมมือกับแสนสิริฯในครั้งนี้ ถือว่าเป็นโครงการนำร่อง ขนาดกำลังการผลิต 600 กิโลวัตต์ ซึ่งบริษัทเป็นผู้ลงทุน และทางโครงการของแสนสิริเป็นผู้ซื้อไฟในอัตราที่ถูกกว่าปกติ 15% โดยมีสัญญาการขายไฟระยะเวลา 25 ปี ซึ่งโครงการนำร่อง 4 โครงการใน T77 คาดว่าจะสร้างรายได้ให้กับบริษัท 3.5 ล้านบาท/ปี และได้เซ็น MOU กับแสนสิริเป็น 30 โครงการ งบลงทุนรวม 90-150 ล้านบาท ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 2-5 เมกะวัตต์ โดยหากติดตั้งและจ่ายไฟฟ้าได้ครบจะทำให้บริษัทมีรายได้จากโครงการดังกล่าวเพิ่มเป็น 14 ล้านบาท/ปี
“ข้อดีของการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้คือช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนซื้อขายพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานสะอาดแบบเรียลไทม์ผ่านเครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์ (Peer-to-Peer) ผ่านแพลตฟอร์มที่มีความปลอดภัย รวดเร็ว โปร่งใส และปราศจากข้อผิดพลาดในการทำธุรกรรมโดยไม่ต้องมีคนกลาง ด้วยราคาที่ถูกลงและช่วยลดมลภาวะด้วยการใช้พลังงานสะอาด ตามแนวคิด Low Cost, Low Carbon”นายบัณฑิต กล่าว
ในเบื้องต้น ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโซลาร์รูฟท็อปในแต่ละอาคาร จะนำไปใช้ภายในอาคาร เพื่อให้แต่ละอาคารสามารถใช้ไฟฟ้าในต้นทุนที่ต่ำกว่าไฟฟ้าที่เคยซื้ออยู่ ในกรณีที่มีไฟฟ้าส่วนเกินจากการผลิตใช้ภายในอาคาร แต่ละอาคารสามารถนำไฟฟ้านั้นแลกเปลี่ยนกันภายในแพลตฟอร์ม โดยภายในหนึ่งเสี้ยววินาทีนั้น สามารถเกิดสถานการณ์การใช้และการผลิตไฟฟ้าได้หลายรูปแบบ ทั้งอาคารก็จะผลิตได้เกินความต้องการ หรืออาคารที่ผลิตได้ไม่เพียงพอกับความต้องการ สำหรับในกรณีที่ไฟฟ้าที่ผลิตได้มีมากกว่าความต้องการที่ใช้เอง ระบบก็จะนำไฟส่วนเกินขายให้ผู้ใช้รายอื่นด้วยระบบ P2P หากยังมีเหลืออีก ก็จะขายให้ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) เพื่อเก็บไว้ขายในเวลาอื่นๆ และหากระบบกักเก็บเต็ม ไฟฟ้าก็จะถูกส่งขายเข้าระบบของกฟน. ทั้งนี้ ในกรณีที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงกว่าที่สามารถผลิตได้ ระบบก็จะทำการซื้อจากระบบ P2P จากระบบกักเก็บพลังงาน และจากการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.) ตามลำดับ