สิงห์ เอสเตทฯ รับปัจจัยลบปี62ส่งผลดีมานด์ระดับลักชัวรี่ชะลอตัดสินใจซื้อ เชื่อหลังเลือกตั้งสถานการณ์กลับเข้าสู่สภาวะปกติ ประกาศเปิดตัวคอนโดฯแบรนด์ใหม่ย่านรางน้ำ มูลค่า4,000 ล้านบาท มิ.ย. นี้ มั่นใจต่างชาติแห่ซื้อเต็มโควตา ล่าสุดเตรียมจัดแคมเปญกระตุ้นยอดขายห้องชุดล็อตสุดท้าย “ดิ เอส อโศก” วันที่ 9-10 มีนาคม 62 นี้
นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด(มหาชน)หรือ S เปิดเผยถึงภาพรวมที่อยู่อาศัยตลาดลักชัวรี่ในปี 2562 ว่าดีมานด์ยังมีอยู่ และมาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value: LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ไม่มีผลต่อลูกค้ากลุ่มดังกล่าวแต่อย่างใด แต่ด้วยปัจจัยลบต่างๆในในปีนี้ อาจจะมีผลด้านจิตวิทยาเล็กน้อย ส่งผลให้ดีมานด์ยังชะลอการตัดสินใจซื้ออยู่ แต่เชื่อว่าหลังการเลือกตั้งและจัดตั้งตั้งรัฐบาลใหม่แล้ว สถานการณ์ต่างๆจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทนั้น ในช่วงเดือนมิถุนายน 2562 นี้ จะเปิดตัวคอนโดฯใหม่อย่างน้อย 1 โครงการ บริเวณซอยรางน้ำ ติดสวนสาธารณะสันติภาพ และตรงข้ามคิง เพาเวอร์ บนพื้นที่เกือบ 2 ไร่ สูงประมาณ 35 ชั้น ขนาดตั้งแต่ 30 ตารางเมตรขึ้นไป ราคาเริ่มต้นที่ 200,000 บาทต้นๆ/ตารางเมตร จำนวน 415 ยูนิต มูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการเปิดตัวภายใต้แบรนด์ใหม่ คาดว่าจะสามารถสรุปผลได้ในเร็วๆนี้ ซึ่งมั่นใจว่าด้วยศักยภาพของทำเลที่ตั้งจะมีชาวต่างชาติสนใจซื้อเต็มโควตา 49% อย่างแน่นอน
ส่วนความคืบหน้าโครงการ “ดิ เอส อโศก”ขณะนี้มียอดขายแล้ว 90% โดยลูกค้าสัดส่วน 60% เป็นคนไทย และสัดส่วน 40% เป็นชาวต่างชาติ ได้แก่ ฮ่องกง ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ โดยเฉพาะสิงคโปร์ มีนักลงทุนซื้อยกฟลอร์เพื่อนำไปขายต่อ รายละประมาณ 20 ยูนิต โดยห้องชุดที่เหลือขายอีกประมาณ 40 กว่ายูนิต คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ในปีนี้
“โครงการนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีมากตั้งแต่วันที่เริ่มพรีเซลในช่วงปลายปี 2559 เปิดขายในราคาเฉลี่ยที่ 200,000 บาท/ตารางเมตร ทำให้เรามียอดขายไปแล้วกว่า 90% ปัจจุบันปรับราคาขายเฉลี่ยขึ้นมาที่ 240,000 บาท/ตารางเมตร โดยโครงการได้เริ่มทำการโอนให้กับลูกค้าตั้งแต่ปลายปี 2561 ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้ทำการโอนไปแล้วกว่า 1,550 ล้านบาท หรือ 38% โดยคาดว่าจะโอนแล้วเสร็จทั้งหมดภายในไตรมาส 2 ปีนี้ และทางโครงการได้เตรียมโปรโมชั่นสุดพิเศษไว้สำหรับห้องส่วนที่ยังไม่ได้ขายอีกประมาณ10% ด้วยแพคเกจเฟอร์นิเจอร์มูลค่า 500,000 บาท และยังมี voucher มูลค่า 100,000บาท ในงาน Grand Opening ในวันที่ 9-10 มีนาคม 2562 นี้อีกด้วย” นายณัฐวุฒิ กล่าว
ขณะที่โครงการ“สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส” ขณะนี้มียอดขายแล้ว 3 ยูนิต มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท และขณะนี้อยู่ในระหว่างเจรจากเรื่องแบบบ้านกับลูกค้าอีก 6 ราย รวมมูลค่าประมาณ 1,500 ล้านบาท ส่วนคอนโดมิเนียม “ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์” มีกำหนดสร้างเสร็จในเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งเป็นโครงการที่ 2 ภายใต้การพัฒนาของบริษัท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 93% มีสินค้าเหลือขายอีก 500 ล้านบาท จำนวนประมาณ 22 ยูนิต และโครงการ “ดิ เอส สุขุมวิท 36” มี ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 70% กำหนดสร้างเสร็จในปี2563
ทั้งนี้บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและขายในมือ จำนวน 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 24,300 ล้านบาท เป็นโครงการประเภทคอนโดมิเนียม จำนวน 4โครงการ ประกอบด้วยโครงการภายใต้แบรนด์ “The ESSE” จำนวน 3 โครงการ และเป็นโครงการภายใต้แบรนด์ “EYSE”จำนวน 1 โครงการ ส่วนอีก 1 โครงการ เป็นโครงการแนวราบภายใต้แบรนด์ “สันติบุรี”
ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือมูลค่ารวมประมาณ 11,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ถึงปี 2563 โดยในปี 2562 จะรับรู้ประมาณ 9,000 ล้านบาท จาก 3 โครงการ ประกอบด้วย โครงการ “ดิ เอส อโศก” มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท, โครงการคอนโดมิเนียม “ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์” ประมาณ 4,900 ล้านบาท และจากโครงการ “สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส” ประมาณ 1,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามในปี 2562 คาดว่าจะมียอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ระดับ 9,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 5,300 ล้านบาท โดยจะมาจากการส่งมอบโครงการในมือจำนวน 3 โครงการ
“ในช่วง 3 ปี ( 2561-2563) บริษัทจะมีการรับรู้รายได้จากโครงการที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงปลายปี 2561 โครงการ ดิเอส อโศก มูลค่าโครงการ 4,500 ล้านบาท สร้างเสร็จ และมียอดโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2561 แล้วประมาณ 1,500 ล้านบาท ส่วนกว่า 3,000 ล้านบาท จะทยอยส่งมอบหมดภายในไตรมาส 3/2562” นายณัฐวุฒิ กล่าวในที่สุด