เอ็น.ซี.ฯเผยผู้ประกอบการอสังหาฯยังเผชิญความท้าทายในปี63 จากหลากปัจจัยลบ ส่งผลแบกรับสต๊อกที่สูง ระบุยังได้อานิสงส์มาตรการรัฐ ถือเป็นโอกาสผู้บริโภคได้ช้อปที่อยู่อาศัยราคาคุ้มค่า แย้มแผนปีหนูผุด 5 โครงการ รวมมูลค่า 3,500 ล้านบาท เน้นเจาะแนวราบ 2-5 ล้านบาท ล่าสุดขนยูนิตเหลือขาย 9 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท อัดแคมเปญ “NC5G แรง” ตั้งเป้าปีนี้กวาดยอดขาย 2,700 ล้านบาท และรายได้แตะ 1,600 ล้านบาท
นายสมนึก ตันธเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด(มหาชน) หรือ NCH เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2563 ว่า ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่เต็มไปด้วยความท้าทายบนปัจจัยลบเศรษฐกิจในประเทศ และต่างประเทศ และยังต้องเผชิญปัญหาด้านการเงิน ในสภาวะที่สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนมีอัตราส่วนที่สูงขึ้น ภาคอสังหาฯต้องเผชิญกับการแบกรับสต๊อกบ้านที่สูง ในฐานะผู้ประกอบการก็ยังมีความอุ่นใจที่ภาครัฐยังมีมาตรการมาช่วยกระตุ้นพยุงสถานการณ์ครอบคลุมถึงบ้านระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ทำให้กำลังซื้อปรับตัวดีขึ้นมา ทำให้มีความหวังว่าตลาดที่อยู่อาศัยจะกลับมาดีขึ้น มีการดูดซับในตลาดมากขึ้น เมื่อผู้ซื้อบ้านมั่นใจ ทำให้ในปีนี้มองว่าจะได้เห็นการเร่งระบายสต๊อกสินค้า ซึ่งเป็นโอกาสของผู้บริโภคในปีนี้ ที่จะได้รับความคุ้มค่าในการซื้อที่อยู่อาศัย
สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2563 นี้ จะเปิดตัวทั้งสิ้น 5 โครงการ มูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท โดยเป็นโครงการแนวราบทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการทาวน์เฮาส์ และบ้านแฝด ในกลุ่มระดับราคา 2-5 ล้านบาท โดยเป็นการพัฒนาในเฟสต่อเนื่อง 1 โครงการ ส่วนที่เหลือจะเป็นการพัฒนาโครงการใหม่ อยู่ใน 3 ทำเล ซึ่งที่มีที่ดินรองรับการพัฒนาอยู่แล้ว ได้แก่ โซนกรุงเทพฯตอนเหนือ คือย่านรังสิต , โซนกรุงเทพฯตะวันตก คือย่านพุทธมณฑล สาย 2 และพัทยา ซึ่งจะเปิดขายในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 ทั้งหมด
“ในปีนี้บริษัทฯหันมารุกตลาดบ้านระดับราคา 2-5 ล้านบาทมากขึ้น เพราะตลาดบ้านในกลุ่มราคาดังกล่าวเป็นกลุ่มระดับกลางยังมีโอกาสเติบโต และมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในกลุ่มระดับราคาดังกล่าวอยู่มาก ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ ทำให้บริษัทฯเห็นถึงโอกาสในการรุกตลาดบ้านระดับกลางในปีนี้” นายสมนึก กล่าว
ส่วนการลงทุนของบริษัทฯในปีนี้จะมีเพียงแค่การใช้เงินลงทุน 50 ล้านบาท ในการก่อสร้างโครงการ “ศิริอรุณ” ให้แล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ด้านการลงทุนในการซื้อที่ดินใหม่ยังไม่มีแผนซื้อแต่อย่างใด เนื่องจากบริษัทฯยังมีที่ดินในมืออยู่มากกว่า 200 ไร่ ซึ่งรองรับการพัฒนาโครงการในอนาคตได้อีกหลายปี ทำให้บริษัทยังไม่มีความจำเป็นมากในการซื้อที่ดินเพิ่มในปีนี้
โดยในปัจจุบันบริษัทมีสต๊อกสินค้าที่รอการขายมูลค่ารวมทั้งหมดกว่า 5,000 ล้านบาท จาก 9 โครงการที่เหลือขาย จำนวนกว่า 100 ยูนิต แบ่งเป็น ทาวน์เฮาส์ ประมาณ 50% ส่วนที่เหลือจะเป็นบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และคอนโดมิเนียม ในพัทยาและเชียงใหม่ ซึ่งบริษัทจะพยายามระบายสต๊อกคอนโดมิเนียมให้หมดภายในปีนี้ โดยที่คอนโดมิเนียม ที่พัทยามีเหลือ 17 ยูนิต มูลค่า 40 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมที่เชียงใหม่ มีเหลือ 40 ยูนิต มูลค่า 100 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะนำแคมเปญการตลาดมากระตุ้นการขาย โดยเฉพาะแคมเปญ “NC5G แรง” ที่มอบโปรโมชั่นพิเศษ ได้แก่
G1 : GOLD ซื้อบ้านได้ทอง สูงสุด 20 บาท*
G2 : GIFT ซื้อบ้านรับของแถม Apple Series ครบคุ้ม อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า
G3 : GIFT VOUCHER ตกแต่งบ้าน มูลค่าสูง ถึง 100,000 บาท*
G4 : GIVE AWAY เอ็น.ซี ร่วมสมทบเงินมอบส่วนหนึ่ง เพื่อโครงการรักษ์โลก ทุกยอดโอน ล้านละ 1,000 บาท ร่วมบริจาคสนับสนุน ด้านการคัดแยกขยะลดปัญหาสิ่งแวดล้อม
G5 : GET MORE รับส่วนลดสูงสุด 2 ล้านบาท* ฟรีทุกค่าใช้จ่ายวันโอนกรรมสิทธ์ทุกรายการ
โดยแคมเปญดังกล่าวเริ่มต้นตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2563นี้ คาดว่าในไตรมาส 1/2563 จะสามารถทำยอดขายจากแคมเปญดังกล่าวไว้ที่ 400-500 ล้านบาท จากทั้งปีที่บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 2,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนทำได้ 2,500 ล้านบาท ด้านรายได้ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 1,600 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อน โดยการระบายสต๊อกในปีนี้จะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่เข้ามาช่วยผลักดันรายได้ของบริษัทในปีนี้ให้เป็นไปตามเป้าหมาย ประกอบกับบริษัทยังมีมูลค่ายดขายรอโอน (Backlog) ซึ่งมาจากโครงการแนวราบอยู่ที่ 300 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยโอนในปีนี้ทั้งหมด ขณะที่การเปิดขายโครงการแนวราบใหม่ในปีนี้จะเน้นไปที่บ้านสร้างเสร็จพร้อมโอน ทำให้สามารถรับรู้รายได้เข้ามาได้ทันที
ขณะเดียวกันบริษัทฯยังให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุนทางการเงินให้มีประสิทธิภาพ เพื่อทำให้ผลการดำเนินงานออกมาดีขึ้น แม้ว่าปัจจุบันบริษัทจะมีหนี้สินไม่มาก ซึ่งมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่เพียง 0.5 เท่า แต่บริษัทฯจะต้องพยายามหาทางเลือกที่มีต้นทุนทางการเงินต่ำ โดยในปัจจุบันแหล่งเงินทุนที่บริษัทใช้รองรับการพัฒนาโครงการเป็นเงินกู้เพื่อพัฒนาโครงการจากสถาบันการเงิน ซึ่งถือว่ามีอัตราดอกเบี้ยที่ยังต่ำกว่าการออกตั๋วแลกเงิน (B/E) ในช่วงนี้ ส่งผลให้บริษัทฯมีต้นทุนการเงินลดลงมาเหลือ 6% ในปัจจุบัน