ศุภาลัยฯเผยไวรัสโควิด-19 กระทบทุกธุรกิจ ประกาศตัวเลขผลประกอบการปี62 รายได้รวม23,957 ล้านบาท และกำไร 5,403 ล้านบาท เร่งรุกตลาดอสังหาฯ ปี63 ทั้งแนวราบ–คอนโดมิเนียม ปักหมุดทำเลศักยภาพ ในกรุงเทพฯ–ปริมณฑล –ภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ รองรับความต้องการของผู้บริโภค เพื่อเดินหน้าผลักดันยอดขายแตะ 26,000 ล้านบาท
ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI เปิดเผยถึง การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ใหม่ “โควิด-19”ว่า ได้ส่งผลกระทบในหลายภาคอุตสาหกรรม ทั้งตลาดท่องเที่ยว ศูนย์การค้า ธุรกิจบันเทิง เช่น โรงภาพยนตร์เป็นต้น โดยเฉพาะจ.ภูเก็ต ที่ต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นหลัก จะประสบปัญหามากที่สุด เพราะเป็นเมืองขนาดเล็ก มีภาคการเกษตร และอุตสาหกรรมน้อย ขณะที่จ.ชลบุรีจ.ระยอง จะมีภาคเกษตรกรรมและนิคมอุตสาหกรรมมากกว่า
ด้านผลประกอบการของศุภาลัย และบริษัทย่อย ในปี 2562 ที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จและอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ซึ่งภาพรวมของธุรกิจในปีที่ผ่านมามีปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัว แต่บริษัทฯ ยังสามารถทำยอดขายได้กว่า 22,324 ล้านบาท โดยเป็นคอนโดมิเนียม 38% และแนวราบ 62% จากการเปิดตัวโครงการ ทั้งหมด 24 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 19 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม 5 โครงการ
โดยบริษัทสามารถ ทำรายได้รวม 23,957 ล้านบาท ลดลง 7% เมื่อเทียบกับปี 2561 และมีกำไรสุทธิ 5,403 ล้านบาท ลดลง 6 % เนื่องจากจำนวนโครงการที่เปิดตัวลดลงและมาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value:LTV) ใหม่ ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งรายได้หลักมาจากการทยอยส่งมอบคอนโดมิเนียมและแนวราบ โครงการต่างๆ แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สินทรัพย์เติบโตขึ้น 5 % ส่วนของผู้ถือหุ้น เติบโต 9% โดยมีอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของ ผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 34% ส่วนต้นทุนการเงินที่อัตราเฉลี่ย 2.31% ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2562 และมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 38,655 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2562 เพื่อรองรับการเติบโตด้านรายได้ของบริษัทในอนาคต
“จะเห็นได้ว่าสถานะของบริษัทฯ มีความมั่นคงแข็งแรงยิ่งขึ้น และมีความเสี่ยงทางการเงินลดลงเพราะมีหนี้สินลดลง และค่าใช้จ่ายทางการเงินลดลง แต่ส่วนของผู้ถือหุ้นกลับเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็มีการกระจายการเติบโตไปในทำเลต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นทั้งการเพิ่มศักยภาพการเติบโต และการกระจายความเสี่ยงไปด้วย” ดร.ประทีป กล่าว
สำหรับภาพรวมของธุรกิจอสังหาฯ ในจังหวัดนครราชสีมา ปัจจุบันบริษัทฯ ได้เข้าไปลงทุนอสังหาฯ ในจังหวัดอย่างต่อเนื่องรวม 5 โครงการ อาทิ ศุภาลัย การ์เด้นวิลล์ นครราชสีมา, ศุภาลัยเบลล่า นครราชสีมา, ศุภาลัย วิลล์ นครราชสีมา, ศุภาลัย พรีโม่ สุรนารี และ โนโว วิลล์ สุรนารีและโครงการที่ 6 ล่าสุด “ศุภาลัย พรีมา วิลล่า นครราชสีมา” คฤหาสน์หรู Modern Luxury Style ตั้งอยู่บนพื้นที่โครงการกว่า 56 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,250 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีที่ดินเปล่าที่ซื้อมาแล้ว ที่รอคอยการพัฒนาอีก 3 แปลง ซึ่งจะพัฒนาต่อเนื่องในปีต่อๆ ไป
ด้านทิศทางในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในจังหวัดนครราชสีมา ยังคงมุ่งเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพราะเล็งเห็นถึงศักยภาพที่มีโอกาสเติบโตของจังหวัด โดยเฉพาะด้านการคมนาคม ที่มีการก่อสร้างมอเตอร์เวย์ สายบางปะอิน–นครราชสีมา และสายรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ–หนองคาย–ลาว ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐาน ภายใต้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจ สามารถเชื่อมต่อการคมนาคมขนส่งระหว่างภาคต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งยังมีความสำคัญต่อการพัฒนาพื้นที่ นำไปสู่การเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งของภูมิภาคได้ต่อไป
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALIกล่าวถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในปีที่ผ่านมา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว อีกทั้งผลกระทบจากมาตรการ LTV ในช่วงแรกของปี ส่งผลให้ผู้บริโภคและนักลงทุนชะลอการตัดสินใจซื้ออสังหาฯแต่ขณะเดียวกันก็ยังมีปัจจัยบวกในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้ภาพรวมของตลาดอสังหาฯ กลับมามีแนวโน้มที่ดีขึ้น เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง นโยบายผ่อนปรนมาตรการ LTV การลดค่าจดจำนอง โครงการบ้านดีมีดาวน์ เป็นต้น
“การคาดการณ์ตลาดอสังหาฯนั้นยากมาก สิ่งที่ทางบริษัทฯต้องทำ คือ 1.การควบคุมการเงินและ 2.บริหารการก่อสร้างให้มีประสิทธิ ภาพสูงสุด ซึ่งในปีนี้” นายไตรเตชะ กล่าว
อย่างไรก็ตามศุภาลัยฯยังคงยืนเป้าการขายปี 2563 ไว้ตามเดิมที่ 26,000 ล้านบาท และเป้ารายได้ที่ 24,000 ล้านบาท แม้จะเป็นตัวเลขที่ตั้งก่อนเกิดปัจจัยการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรน่า(โควิด-19) แต่บริษัทฯมั่นใจว่า เป้าหมายทางการเงินทั้ง 2ตัวเลขจะทำได้ ซึ่งในส่วนของรายได้มีลูกค้ารอเซ็นสัญญาคิดเป็นมูลค่า 10,000 ล้านบาท ที่เหลือมาจากโครงการใหม่ที่เปิดในปีนี้ลูกค้าจำนวนมากพร้อมซื้อโครงการพร้อมโอน หรือแม้แต่โครงการคอนโดมิเนียมของบริษัทโซนรถไฟฟ้าสายสีม่วง ยอดขายปี 2562 ไม่แย่กว่าปี 2561
สำหรับปี 2563 บริษัทฯ มุ่งมั่นพัฒนากลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ เพื่อผลักดันยอดขายให้สู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยตั้งเป้าหมายยอดขาย 26,000 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ 24,000 ล้านบาท จากการเปิดตัวโครงการใหม่ 30 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 25 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม 5 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 30,000 ล้านบาท พร้อมรุกเปิดตลาดอสังหาฯ ในจังหวัดใหม่ ๆ เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค พร้อมด้วยทำเลศักยภาพ อาทิพระนครศรีอยุธยา พิษณุโลก และฉะเชิงเทรา เพื่อครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคทั่วทุกภูมิภาค สำหรับในกรุงเทพฯ ปริมณฑล ทำเลที่น่าสนใจ ยังเป็นส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าที่สร้างเสร็จแล้ว ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีมากขึ้น และรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างอย่างสายสีเหลือง สีชมพูและสีส้ม ที่มีโอกาสเติบโตในทิศทางที่ดี เนื่องจากมีความต้องการของที่อยู่อาศัยสูงพร้อมมุ่งพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่มากขึ้น รวมไปถึงการพัฒนารูปแบบการซื้อที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการใหม่ในอนาคตของบริษัทฯ
สำหรับงบลงทุนซื้อที่ดินและก่อสร้างในปีนี้ มีตัวเลขรวม 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบซื้อที่ดิน8,000 ล้านบาท และงบค่าก่อสร้าง 12,000 ล้านบาท