เอ็นริชฯประกาศนโยบายธุรกิจชัด เน้นร่วมทุนพันธมิตรเป็นหลัก หวังกระจายความเสี่ยง เปิดแผนครึ่งปีหลัง 63 ผนึกอสังหาฯไทย–ญี่ปุ่น ผุดบ้านเดี่ยวโซนตะวันตกกรุงเทพฯฯ และโรงแรมแบรนด์ “ดุสิตดีทู หัวหิน” ล่าสุดเปิดตัว“The MARQ Exquisite ราชพฤกษ์ – จรัญสนิทวงศ์” โครงการร่วมทุนกับ”ไซบุแก๊ส” มูลค่า 1,700 ล้านบาท ด้านซีบีอาร์อีฯเผยบ้านเดี่ยวลักชัวรี่ โซนตะวันตก ซัพพลาย-ดีมานด์ สมดุลต่อเนื่อง คาดหลังโควิด-19 คลี่คลายเกิด New Normal ใหม่ 4 ประการ
นางสาวสุพิชา ณัฐสุวรรณพล ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารธุรกิจ กลุ่มบริษัทเอ็นริช เปิดเผยว่าจากประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการอสังหาฯมากกว่า 10 ปี ที่ส่วนใหญ่พัฒนาอยู่ในโซนตะวันตกของกทม. เน้นพัฒนาโครงการในรูปแบบของลักชัวรี่ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าผู้บริโภคจะชอบพักอาศัยอยู่ในบ้านมากอยู่แล้ว และจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้พฤติกรรมการของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ทุกคนมีการ Work from Home (WFH) มากขึ้น บ้านจะเป็นมากกว่าสถานที่พักอาศัยจะต้องตอบโจทย์การใช้ชีวิตส่วนตัวและการใช้ชีวิตร่วมกันได้มากกว่าเดิม ซึ่งภาพรวมตลาดบ้านเดี่ยว ซึ่งมีหลายระดับราคา แม้ว่าที่ผ่านมาจะได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 แต่มองว่ายังเป็นตลาดที่มีดีมานด์อย่างแท้จริง
ซึ่งในส่วนของแผนการดำเนินงานของบริษัทฯนั้น ยังคงเน้นพัฒนาโครงการระดับลักชัวรี่เป็นหลัก ซึ่งจะเป็นในรูปแบบของการร่วมทุนกับพันธมิตร เพื่อกระจายความเสี่ยง โดยในทำเลกทม.ก็จะเน้นโซนฝั่งตะวันตกเป็นหลัก ส่วนทำเลอื่นก็ให้ความสนใจด้วยเช่นกัน แต่ถ้าหากมีซัพพลายและการแข่งขันมาก ก็จะยังไม่สนใจเข้าไปพัฒนา โดยในครึ่งปีหลัง 2563 มีแผนที่จะพัฒนาต่อเนื่องอีก 2 โครงการ ได้แก่
1.โครงการบ้านเดี่ยว ย่านโซนตะวันตกของกทม. ซึ่งจะเป็นการร่วมทุนกับผู้ประกอบการอสังหาฯนอกตลาดหลักทรัพย์ฯที่พัฒนาโครงการในทำเลโซนตะวันตกอยู่แล้ว ด้วยการนำที่ดินของพันธมิตรมาพัฒนาเป็นเฟส แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
2.โรงแรมระดับ 4-5 ดาว ใกล้ศูนย์การค้าบลูพอร์ต หัวหิน ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับกลุ่มบริษัท ไซบุแก๊ส จำกัด จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งก่อตั้งมานานกว่า 90 ปี มีธุรกิจหลักเป็นกลุ่มทุนด้านพลังงานที่มีความเชี่ยวชาญสูงจากการเป็นผู้ผลิต จัดหาและจำหน่ายก๊าซธรรมชาติในญี่ปุ่น อีกทั้งยังดำเนินธุรกิจในด้านต่างๆ มากมายรวมทั้งด้านอสังหาริมทรัพย์ โดยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ถือเป็นหนึ่งในแผนงานสำคัญในการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศของบริษัท ไซบุแก๊ส จำกัด ด้วยการก่อตั้งบริษัท เอ็นริช ปรนิมิต จำกัด ขึ้นมาด้วยทุนจดทะเบียนกว่า 90 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโรงแรมแบรนด์ ดุสิตดีทู หัวหิน ซึ่งบริหารงานโดยบริษัท ดุสิต ธานีจำกัด(มหาชน) หรือ DTC ตั้งอยู่บนพื้นที่ 2 ไร่เศษ สูง 8 ชั้น จำนวน 150 ห้องพัก มูลค่าการลงทุนกว่า 800 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งคืบหน้าไปแล้วประมาณ 50% คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปลายปี 2563 หรือต้นปี 2564
ล่าสุดได้เปิดตัวโครงการ “The MARQ Exquisite ราชพฤกษ์ – จรัญสนิทวงศ์” ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับกลุ่มบริษัท ไซบุแก๊ส จำกัด ที่ถือหุ้นในนามบริษัท ไซบุแก๊ส (ประเทศไทย)จำกัด ในสัดส่วน 49% และ กลุ่มเอ็นริช 51% ก่อตั้งบริษัท เอสจี เอ็นริช จำกัด ขึ้นมาด้วยทุนจดทะเบียน305 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการดังกล่าว ตั้งอยู่บริเวณถนนพรานนก–พุทธมณฑทลสาย 4 บนพื้นที่ 23 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว 3 ชั้น สไตล์โมเดิร์น ขนาดเริ่มต้นที่ 100 ตารางวา(ตร.ว.) พื้นที่ใช้สอยมากกว่า 600 ตารางเมตร (ตร.ม.)ราคาขายเริ่มต้นที่ 29 ล้านบาท จำนวน65 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 1,700 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ในระหว่างดำเนินการก่อสร้าง และจะสามารถเปิดให้เข้าเยี่ยมชมบ้านตัวอย่าง–จองบ้านได้ตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไปโดยได้มอบหมายให้บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด เป็นที่ปรึกษาและบริหารงานขายโครงการ
“ก่อนที่เราจะร่วมทุนกับกลุ่มไซบุแก๊ส ได้มีนักลงทุนต่างชาติหลายราย โดยเฉพาะจีน สนใจติดต่อเข้ามาร่วมทุน แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจร่วมทุนกับโซบุแก๊ส เพราะมีวิสัยทัศน์ที่ตรงกัน และมีแผนที่จะร่วมทุนในระยะยาวด้วย เนื่องจากทางพันธมิตรมองว่าประเทศไทยนั้นยังมีโอกาสในการลงทุนและมีศักยภาพในการเติบโตสูง ซึ่งการร่วมทุนกับไซบุแก๊ส ก็มีการนำโนว์ฮาวบางส่วนเข้ามาใช้ในโครงการที่พัฒนาร่วมกันด้วย” นางสาวสุพิชา กล่าว
ด้าน นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ ดีมานด์ยังมีความ ต้องการสินค้าอย่างต่อเนื่องเพราะเป็นตลาดของผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยอย่างแท้จริง ยิ่งเป็นตลาดเป้าหมาย ในระดับบนซึ่งมีสินค้าในตลาดจำนวนไม่มาก ทั้งยังไม่มีสินค้าคงเหลือในทำเลใกล้เคียงกันในระดับที่น่ากังวล การแข่งขันในตลาดจึงขึ้นอยู่กับความโดดเด่นของตัวสินค้าว่าจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้มากเพียงใด ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่ทำให้บ้านเดี่ยวได้รับการจับตามองมากขึ้นจากผู้บริโภคในช่วงเวลาต่อจากนี้ มาจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯโซนตะวันตกของกทม. ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่อาศัยเป็นหลัก และอยู่ติดกับพื้นที่กรุงเทพฯชั้นใจเช่นกัน โดยตลาดบ้านเดี่ยวโซนนี้มีการพัฒนาที่สมดุลทั้งซัพพลายและดีมานด์ เพราะส่วนใหญ่เป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองเป็นหลัก ตัวเลขจึงไม่โอเวอร์ซัพพลาย
หากเจาะลึกไปถึงตลาดไฮเอนด์ และลักชัวรี่ ในทำเลดังกล่าวจะเห็นว่าในรอบ 5 ปี ไตรมาส1/2557- ไตรมาส1/2563 มีสัดส่วนซัพพลายบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ ระดับราคา 15.1-30 ล้านบาท จำนวน 13 โครงการ จำนวน 991 ยูนิต และบ้านเดี่ยว ระดับลักชัวรี่ ระดับราคา 30.1-70 ล้านบาท มีจำนวน 3 โครงการ 118 ยูนิต
ขณะที่บ้านเดี่ยวในกรุงเทพฯส่วนใหญ่อยู่ในโซนตะวันออก โดยไตรมาส1/2563 ที่ผ่านมามีการเปิดตัวไปแล้ว 399 ยูนิต ส่วนโซนใต้ เปิดตัว 258 ยูนิต โซนเหนือ 12 ยูนิต และโซนตะวันตก–กรุงเทพฯชั้นในยังไม่มีการเปิดตัวแต่อย่างใด ดังนั้นในมุมของนักการตลาดและการขาย เชื่อว่าโครงการ “The MARQ Exquisite ราชพฤกษ์ – จรัญสนิทวงศ์” ตอบโจทย์ครบทุกความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง มีความพร้อมในการใช้จ่าย และมีปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ที่ส่งผลให้โครงการมีความน่าสนใจมากขึ้นนอกเหนือจากเรื่องของการดีไซน์สเปซและฟังก์ชั่นยังรวมถึง ทำเลที่เหมาะสมเพราะอยู่ในพื้นที่โซนอยู่อาศัย ที่มีความหนาแน่นไม่มาก การเดินทางสะดวกเพราะสามารถ เข้าถึง จุดเชื่อมต่อสู่ใจกลางกรุงเทพฯ ได้หลายจุดสิ่งอำนวยความสะดวกแวดล้อมในทำเลราชพฤกษ์–จรัญสนิทวงศ์ก็มีอย่าง ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนชั้นนำ โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ และที่สำคัญการเคลื่อนไหวของ ตลาดสินค้าที่เจาะกลุ่มเป้าหมายระดับบนของกลุ่มเอ็นริช จะเป็นการเปิดประเดิมความเคลื่อนไหวของผู้ประกอบการ รายอื่นตามมาในเร็วๆ นี้
อย่างไรก็ตามเชื่อตลาดบ้านเดี่ยวตั้งแต่ระดับไฮเอนด์ขึ้นไปในช่วงนี้ ยังขายได้ดีต่อเนื่อง เพราะกำลังซื้อยังมีอยู่ เพียงแต่อาจจะชะลอการตัดสินใจซื้อไปบ้าง เชื่อว่าหากสถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติ กำลังซื้อกลุ่มดังกล่าวจะกลับมาอย่างแน่นอน คาดว่าหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายจะเกิด New Normal ใหม่ 4 ประการ คือ
1.Health & Wellness ผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น และมีผลต่อทุกๆประเภทของอสังหาฯ รวมไปถึง Madications ด้วย
2.Social Distancing ผู้บริโภคจะมีการอยู่ในที่อยู่อาศัยมากขึ้น และเทรนด์เรื่องฟังก์ชั่นในที่อยู่อาศัยนี้จะมีต่อเนื่องอย่างต่อไป
3.Space and Function ผู้บริโภคจะให้ความสำคัญในพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น
4.Techology ผู้บริโภคทุกกลุ่มจะให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีมากขึ้น ซึ่งจะเป็นอีกเทรนด์หนึ่งที่จะมาเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค