โนเบิลฯปรับแผนปี64 รับมือตลาดคอนโดฯโฮเอนด์ชะลอตัว รุกแบรนด์ “NUE”ระดับราคา 2-3 ล้านบาท สัดส่วน 50% ครึ่งปีหลัง’63 ผุด 4 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท ระบุวิกฤติโควิด-19 ส่งผลเลื่อนแผนขายโครงการ NOBLE REMIX มูลค่า 1,100 ล้านบาทเข้ากองรีท มั่นใจทั้งปีกวาดยอดขายตามเป้า 12,000 ล้านบาท และรายได้ 10,000 ล้านบาท
นายอรัฐ เศวตะทัต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE เปิดเผยว่า จากการที่ที่ดินย่านใจกลางเมืองเริ่มหายากมากขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯปรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2564 ด้วยการรุกคอนโดฯแบรนด์ NUE ระดับราคา 2-3 ล้านบาท มากขึ้นในสัดส่วน 50% ของแผนการเปิดโครงการทั้งหมด ซึ่งกระจายในแนวรถไฟฟ้าทั้งหมดทุกโซนของกทม. ขณะนี้มีที่ดินรองการพัฒนาโครงการแบรนด์ดังกล่าวในปีหน้าแล้ว 4 แปลงๆละประมาณ 2-3 ไร่
ส่วนคอนโดระดับ High-end ที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ ก็ยังคงไม่ทิ้งการพัฒนา แต่เนื่องจากภาวะตลาดของกลุ่มคอนโดมิเนียมระดับ High-end ในช่วงที่ผ่านมาชะลอตัวลงไปมากจากวิกฤติโควิด-19 ทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆได้รับผลกระทบ และลูกค้าชาวต่างชาติไม่สามารถเดินทางเข้ามาซื้อได้และลดลงไปค่อนข้างมาก ทำให้บริษัทชะลอการพัฒนาโครงการระดับ High-end ออกไปก่อน แต่หากตลาดกลับมาดีก็พร้อมที่จะกลับมาพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับโครงการร่วมทุนกับฮ่องกงแลนด์ ย่านถนนวิทยุ บนพื้นที่ประมาณ 3 ไร่ ซึ่งซื้อมาในราคาประมาณ 2.5 ล้านบาท/ตารางวา ซึ่งแม้จะไม่ใช่ราคาทุบสถิติแต่ก็ถือว่าเป็นราคาที่สูง ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจารูปแบบโครงการร่วมกัน คาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้ประมาณต้นปี 2564
นอกจากนี้บริษัทยังมองไปถึงการพัฒนาธุรกิจการรับบริหารนิติบุคคลอาคารชุด หลังจากที่บริษัทพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมากหลายโครงการประสบความสำเร็จ และเริ่มเห็นว่าเป็นโอกาสที่จะพัฒนาธุรกิจดังกล่าวขึ้นมา เพื่อทำให้คอนโดมิเนียมที่บริษัทพัฒนามีประสิทธิภาพการบริการลูกค้าที่ซื้อโครงการไปได้ดีที่สุดตามคุณภาพมาตรฐานของบริษัท ซึ่งเป็นแผนงานในอนาคตที่บริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อเข้ามาต่อยอดจากธุรกิจหลักของบริษัท
สำหรับในครึ่งปีหลัง 2563 บริษัทฯมีแผนเปิดตัวทั้งสิ้น 4 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท จากทั้งปีที่เปิดตัวทั้งหมด 5 โครงการ โดยครึ่งปีแรกเปิดตัวไปแล้ว 1 โครงการ คือ “โนเบิล อเบิฟ ไวร์เลส-ร่วมฤดี” มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท สำหรับในครึ่งปีหลังนั้นในไตรมาส 3 ได้เปิดตัวไปแล้ว 2 โครงการ คือ
1.“นิว โนเบิล งามวงศ์วาน” (NUE NOBLE NGAMWONGWAN) ตั้งอยู่บนพื้นที่ 3 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบของคอนโดฯ สูง 37 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 800 ยูนิต และอาคารพาณิชย์ 4 ยูนิต ขนาดห้องชุดเริ่มต้นที่ 22-34.80 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 1.59 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท ซึ่งเปิดตัวเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2563 ผ่านมา โดยเพียง 3 สัปดาห์ สามารถทำยอดขายได้มากกว่า 50% หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 900 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าภายในประเทศทั้งหมด โดยลูกค้ากลุ่มนี้ได้ชำระเงินทำสัญญาพร้อมเงินจองเป็นที่เรียบร้อย คาดว่าจะสร้างยอดขายจากกลุ่มลูกค้าต่างประเทศได้อีกกว่า 20% และมั่นใจว่าจะสามารถทำยอดขายรวมได้ประมาณ 70 % ใน เร็วๆ นี้
2.“นิว โนเบิล รัชดา – ลาดพร้าว” (NUE NOBLE RATCHADA – LAT PHRAO)ซึ่งเป็นโครงการแรกที่ร่วมทุนกับ บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) ในกลุ่ม บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) โดยแต่ละฝ่ายถือหุ้นในสัดส่วน 50% ตั้งอยู่บนพื้นที่ 2 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบของคอนโดฯ สูง 34 ชั้น ขนาดตั้งแต่ 22.50-42.60 ตารางเมตร จำนวน 565 ยูนิต ราคาเริ่มต้นที่ 2.39 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ยที่ประมาณ 100,000 บาท/ ตารางเมตร มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ซึ่งได้เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา โดยเพียง 1 สัปดาห์ สามารถทำยอดขายได้ 300 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขายภายใน 3 สัปดาห์ที่ 800 ล้านบาท
ส่วนโครงการที่ 3.”นิว โนเบิล ไฟฉาย – วังหลัง” (NUE NOBLE FAI CHAI – WANG LANG) ถือเป็นโครงการแรกที่บริษัทฯรุกไปทำเลฝั่งธนฯ พัฒนาในรูปแบบของคอนโดมิเนียม High-Rise มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท โดยมีแผนเปิดตัวในกลางเดือนสิงหาคม 2563 นี้ ส่วนรายละเอียดต่างๆยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้
และ 4.เป็นโครงการคอนโดฯย่านใจกลางเมือง ซึ่งโนเบิลฯพัฒนาเอง 100% ราคาขายประมาณ 200,000 บาท/ตารางเมตร มูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท มีแผนจะเปิดตัวประมาณไตรมาส 4/2563 แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้
ด้านนายอรรถวิทย์ เฉลิมทรัพยากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงิน NOBLE กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทยังเดินหน้าการโอนโครงการต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนให้รายได้ในปี 2563 ทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 10,000 ล้านบาท โดยที่ในช่วงครึ่งปีหลังจะรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) เข้ามาประมาณ 7,000-8,000 ล้านบาท จาก Backlog ที่มีอยู่ทั้งหมด 15,000 ล้านบาท ซึ่งจะมี 3 โครงการคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จเตรียมโอนในช่วงครึ่งปีหลัง 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ BE19 ซึ่งมียอดขายแล้ว 70% เตรียมโอนในช่วงไตรมาส 3/2563 และอีก 2 โครงการ คือ โครงการ AROUND สุขุมวิท 33 และโครงการ AMBIENCE สุขุมวิท 42 ที่จะโอนในช่วงไตรมาส 4/2563 มียอดขายเฉลี่ย 80% ที่จะเข้ามาเสริมรายได้ให้กับบริษัทในช่วงครึ่งปีหลัง
ขณะเดียวกันบริษัทยังทยอยระบายสต๊อกของโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการระดับราคา 5-10 ล้านบาท ซึ่งมีสต๊อกเหลือขายอยู่ที่ 3,000 ล้านบาท โดยการทำโปรโมชั่นขายในราคาพิเศษราคาเดียวให้กับลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ เพื่อทำให้สามารถระบายสต๊อกออกไปได้เร็วมากขึ้น ทำให้บริษัทมีรายได้และมีกระแสเงินสดเข้ามาเพื่อนำไปใช้ในการดำเนินธุรกิจหรือการลงทุนโครงการอื่นๆ
ด้านภาพรวมของการโอนในช่วงที่ผ่านมาต่อเนื่องในส่วนของครึ่งปีหลัง 2563 บริษัทมองว่าการโอนเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้นหลังจากผ่อนคลายล็อกดาวน์ และสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศเริ่มคลี่คลาย ทำให้การดำเนินธุรกรรมต่างๆเริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติ โดยที่ลูกค้าชาวไทยยังคงทยอยโอนอย่างต่อเนื่อง และมีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่ต่ำไม่ถึง 10% แม้ว่าจะเพิ่มขึ้นมาจากปีก่อนที่ 5% แต่ลูกค้าของ NOBLE ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการกู้สูง และมีกำลังซื้อสูงด้วย จากระดับราคาคอนโดมิเนียมที่ขายอยู่ในระดับกลาง-บน เป็นส่วนใหญ่ ทำให้ไม่มีปัญหาในการกู้สินเชื่อ และไม่กระทบการโอน ส่วนลูกค้าชาวต่างชาติอาจจะยังมีปัญหาในเรื่องการเดินทางเข้ามาโอนในประเทศไทยไม่ได้ แต่บริษัทฯได้มีการอำนวยความสะดวกหากลูกค้าชาวต่างชาติมีผู้แทนที่อยู่ในประเทศไทยสามารถโอนแทนได้ ซึ่งในปี 2563 คาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้จากลูกค้าชาวต่างชาติประมาณ 20-25% ของเป้าหมายรายได้ที่ 10,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามจากภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอตัว ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงรับผลกระทบจากโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้บริษัทเลื่อนแผนการขายโครงการ NOBLE REMIX มูลค่า 1,100 ล้านบาท เข้าทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือ รีท (REIT) ออกไปเป็นปี 2564 เนื่องจากกองรีทที่บริษัทฯได้เจรจาจะขายสินทรัพย์ดังกล่าวเข้ากองรีทในปีนี้ ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย ทำให้เห็นว่ายังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมในปีนี้ที่จะขยายสินทรัพย์ในกองรีท ทำให้แผนการขายโครงการ NOBLE REMIX ต้องเลื่อนออกไปเป็นปี 2564 ซึ่งในส่วนของบริษัทฯถือว่าไม่ได้รับผลกระทบอะไร และสินทรัพย์ดังกล่าวยังถือว่ามีศักยภาพสามารถขายเข้ากองรีทได้ในปี 2564
ด้านยอดขายในปีนี้ที่บริษัทตั้งไว้ที่ 12,000 ล้านบาท ได้มีการประเมินแนวโน้มยอดขายมีโอกาสทำได้ต่ำกว่าเป้าหมายมาอยู่ที่ 8,000 ล้านบาท หากแผนการเปิดโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรฮ่องกงแลนด์ บนที่ดินถนนวิทยุใกล้กับ BDMS Wellness ที่เดิมวางแผนไว้เปิดปลายปี 2563 เลื่อนไปเป็นปี 2564 อาจกระทบต่อเป้าหมายยอดขายที่ 12,000 ล้านบาทได้ ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกบริษัททำยอดขายได้แล้ว 4,000-5,000 ล้านบาท จากการขายโครงการที่อยู่ในสต๊อก และโครงการ Noble Above ซอยร่วมฤดี ที่เปิดขายไปในช่วงต้นปีที่ผ่านมา