SIRIปลื้ม 7 เดือนกวาดยอดขาย 2.4 หมื่นลบ. เลื่อนแผนปล่อยเช่าบ้านระยะยาวต่างชาติไปปี’64

  • Post author:
You are currently viewing SIRIปลื้ม 7 เดือนกวาดยอดขาย 2.4 หมื่นลบ. เลื่อนแผนปล่อยเช่าบ้านระยะยาวต่างชาติไปปี’64
แสนสิริฯปลื้ม 7 เดือนกวาดยอดขายรวม 24,000 ล้านบาท จากเป้าทั้งปี 35,000 ล้านบาท โดยแนวราบม้ามืดสร้างยอดขายมากถึง 15,400 ล้านบาท  ครึ่งปีหลัง63 รุกแบรนด์ “อณาสิริ”หวังตอบโจทย์ดีมานด์ ประกาศชะลอแผนนำบ้านหัวเมืองท่องเที่ยวปล่อยเช่าระยะยาว เหตุกำลังซื้อต่างชาติหายหลังปิดประเทศ  มั่นใจยอดขาย-ยอดโอนทั้งปีเป็นไปตามเป้า
นายอาณัติ  กิตติกุลเมธี
นายอาณัติ  กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า  การดำเนินธุรกิจในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา จากการเดินเกมส์เร็วนำหน้าคู่แข่ง กลยุทธ์การตลาดที่แข็งแกร่งด้วยโปรโมชั่นตอบโจทย์ตรงใจลูกค้า นอกจากนี้ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ยังทำให้แสนสิริต้องเร่งการขายโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ให้เร็วกว่าแผนเดิม เพื่อแข่งขันกับสภาพ ส่งผลให้ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม-กรกฎาคม 2563) บริษัทฯสามารถสร้างยอดขายรวมได้ถึง 24,000 ล้านบาท(ลบ.)  คิดเป็น 70% จากเป้าหมายทั้งปีที่วางไว้ 35,000 ล้านบาท โดยเป็นยอดขายจากโครงการแนวราบสูงถึง 15,400 ล้านบาท หรือคิดเป็น 64% ของยอดขายในรอบ 7 เดือน ผลจากการพัฒนาโครงการภายใต้แนวคิด Sansiri Housing Evolution ที่สามารถตอบรับความต้องการที่เปลี่ยนไปของลูกบ้านได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังส่งผลให้สามารถปิดการขายโครงการแนวราบไปได้ถึง 13 โครงการ

สำหรับครึ่งปีหลังนี้ แสนสิริเตรียมรุกตลาดแนวราบเพิ่มมากขึ้น โดยมีแผนเปิด 10 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 11,700 ล้านบาท (จากแผนเปิดตัวของบริษัทในครึ่งปีหลังทั้งหมด 12 โครงการ มูลค่ารวม 16,900 ล้านบาท โดยเป็นคอนโดฯ 2 โครงการ) โดยเป็นการรุกหนักในแบรนด์ “อณาสิริ” ซี่งเป็น Mixed Product ถึง 5 โครงการ ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮาส์ ในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยว ราคาเริ่มต้นที่ 2 – 6 ล้านบาท มูลค่าโครงการรวม 5,600 ล้านบาท โดยเมื่อเดือนมีนาคม 2563 ได้เปิดตัว “อณาสิริ ป่าคลอก” จ.ภูเก็ต เฟส 1 ไปแล้ว 1 โครงการ ระดับราคา 2-6 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท

ส่วนอีก 4 โครงการจะเปิดตัวในครึ่งปีหลัง 2563 แบ่งเป็นเปิดตัวในช่วงเดือนตุลาคม จำนวน 2 โครงการ คือ “อณาสิริ ชัยพฤกษ์ – วงแหวน” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 56 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ขนาดตั้งแต่ 50 ตารางวาขึ้นไป ราคาตั้งแต่ 3.59-6 ล้านบาท จำนวน 308 ยูนิต

“อณาสิริ กรุงเทพฯ – ปทุมธานี” ตั้งอยู่ในสนามกอลฟ์ชวนชื่น ฟลอร่า วิลล์ ซึ่งเป็นการซื้อที่ดินมาจากบริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด(มหาชน)หรือ MK จำนวน 49 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว-บ้านแฝด ขนาดตั้งแต่ 50 ตารางวาขึ้นไป ราคาตั้งแต่ 3.59-6 ล้านบาท จำนวน 272 ยูนิต

และอีก 2 โครงการที่จะเปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 2563 คือ “อณาสิริ รังสิต-คลอง2” มูลค่าโครงการ 600-700 ล้านบาท  และ “อณาสิริ บางนา” ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 30 ไร่ มูลค่าโครงการประมาณ 600-700 ล้านบาท ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

“ขณะนี้เรามีที่ดินรองการรับพัฒนาโครงการแนวราบในปีนี้แล้วประมาณ 10 แปลงๆละประมาณ 20 ไร่ขึ้นไป ทั้งในกทม.-ปริมณฑล แต่ราคาที่ดินที่ซื้อมาก็ยังถือว่ามีราคาสูงกว่าช่วงที่ผ่านมา 5-10% ซึ่งต้นทุนที่ดินที่พัฒนาแบรนด์ ‘อณาสิริ’ ควรอยู่ที่ประมาณ 3-4 ล้านบาท/ไร่”นายอาณัติ กล่าว

ส่วนความคืบหน้าการนำบ้านหรือทาวน์โฮม ปล่อยเช่าระยะยาว 30 ปี บวก 30 ปี ในโครงการบุราสิริ สันผีเสื้อ จ.เชียงใหม่  ระดับราคา 5-10 ล้านบาท(ลบ.)  ที่มีลูกค้าชาวจีนเช่าผ่านเอเจนซี่ ไปแล้ว 40 ยูนิต โดยเป็นราคาที่สูงกว่าขายคนไทยประมาณ 10% และยังมีแผนที่จะนำโครงการ อณาสิริ ป่าคลอก” จ.ภูเก็ต มาดำเนินการในรูปแบบการปล่อยเช่าระยะยาวให้กับลูกค้าชาวต่างชาติ เป็นโครงการต่อเนื่อง ซึ่งโครงการดังกล่าวพัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว และ บ้านแฝด ระดับราคา 4.5-7 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท นั้น คงต้องชะลอแผนการดำเนินการดังกล่าวออกไปก่อน เนื่องจากวิกฤติ โควิด-19 ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน ไม่สามารถเดินทางเข้ามายังประเทศไทยได้ ประกอบกับโครงการ “อณาสิริ ป่าคลอก”จ.ภูเก็ต ยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งงานก่อสร้างได้ล่าช้ามา 2-3 เดือน เนื่องจากมีการปิดเมืองภูเก็ต คาดว่าแผนการดังกล่าวจะนำกลับมาดำเนินการใหม่ในปี 2564 ทั้งนี้คงต้องดูจังหวะและโอกาสด้วย

“คาดว่า ‘อณาสิริ’ จะเป็นอีกหนึ่งแบรนด์โครงการแนวราบที่ประสบความสำเร็จและแข็งแกร่งในการเติมเต็มความต้องการที่อยู่อาศัยให้ครอบคลุมทุกความต้องการได้ในอนาคต  และเป็นหมากสำคัญในการรุกตลาดแนวราบ เพื่อก้าวสู่เป้าหมายการเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มบ้านเดี่ยว และ Top 3 กลุ่มทาวน์โฮมในปี 2564 ซึ่งหากดูจากเป้าหมายยอดขายโครงการแนวราบของปีที่ตั้งเป้าหมายไว้ในปีนี้  19,000 ล้านบาท จะเหลือยอดพรีเซลที่ต้องทำให้ได้ตามเป้าอีกเพียง 3,600 ล้านบาท ดังนั้นด้วยปัจจัยสนับสนุนจากความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงกลยุทธ์ที่มุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าในกลุ่มเรียลดีมานต์ ทำให้เชื่อมั่นว่า บริษัทจะสามารถสร้างยอดขายและยอดโอนโครงการแนวราบได้ตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน” นายอาณัติ กล่าวในที่สุด

 

 

 

 

toppercool

CEO,Prop2morrow Blogger อสังหาฯ , นักการตลาดดิจิตัล สาย Content marketing