แม้ว่าในช่วงไตรมาส 1/2563 ที่ผ่านมาจะพ่นพิษให้ผลประกอบการของผู้ประกอบการอสังหาฯส่วนใหญ่ร่วงกราว แต่พอย่างเข้าไตรมาส 2/2563 ผู้ประกอบการทุกรายต่างเร่งปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อรับมือกับโควิด-19 ด้วยการอัดโปรโมชั่นเร้าใจแบบขาดทุนกำไร ชนิดที่ไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศ และสามารถระบายสต๊อกที่เหลือ รวมไปถึงเร่งโอนกรรมสิทธิ์กันชนิดฝุ่นตลบ ส่งผลให้ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2563 ในบางบริษัทมีตัวเลขที่ดีขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปี 2562
prop2morrow รายงานผลการดำเนินงานบริษัท 13 บริษัทอสังหาริมทรัพย์งวดครึ่งปีแรก 2563 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 ที่ทยอยประกาศออกมา พบว่ากว่า 50% มียอดขายที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2562 สวนกระแสโควิด-19 ส่วนยอดรับรู้รายได้มีเพียง 5 บริษัทเท่านั้นที่เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรก 2562 โดยบริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน)หรือ SIRI มียอดขายและรับรู้รายได้นำโด่ง ที่ 19,567 ล้านบาท และ 25,229 ล้านบาท ตามลำดับ (รายละเอียดในตาราง) ดังนี้คือ
–มียอดขายรวมเท่ากับ 119,144 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 เท่ากับ126,172 หรือ “ลดลง” สัดส่วน 5.57%
-มีรายได้รวมเท่ากับ113,768 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 เท่ากับ 110,347 หรือ “เพิ่มขึ้น” สัดส่วน1%
-มีกำไรสุทธิเท่ากับ12,983 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 เท่ากับ 15,972 หรือ“ลดลง” สัดส่วน72%
-มีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ41% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี2562 เท่ากับ 14.47% หรือ“ลดลง” สัดส่วน 3.06%
โดยมี 7 บริษัท “ที่มียอดขายเป็นบวก” คือ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) หรือ SIRI มียอดขายเท่ากับ 19,567 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขายเท่ากับ 10,523 ล้านบาท ,บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์จำกัด(มหาชน) หรือ LH มียอดขายเท่ากับ 13,614 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขายเท่ากับ 13,269 ล้านบาท , บริษัท ศุภาลัยจำกัด(มหาชน) หรือ SPALI มียอดขายเท่ากับ 13,230 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขายเท่ากับ 12,075 ล้านบาท , บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)หรือ SC มียอดขายเท่ากับ 8,202 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขายเท่ากับ 7,023 ล้านบาท ,บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) หรือ LPN มียอดขายเท่ากับ 5,780 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขายเท่ากับ 3,514 ล้านบาท ,บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน)หรือ NOBLE มียอดขายเท่ากับ 4,004 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขายเท่ากับ 3,078 ล้านบาท และ บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด(มหาชน) หรือ RML มียอดขายเท่ากับ 1,881 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขายเท่ากับ 1,603 ล้านบาท
ส่วนผู้ประกอบการที่มี “รายได้เพิ่มขึ้น” โดยบริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) หรือ SIRI มีรายได้รวมที่นำโด่งเท่ากับ 25,229 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้เท่ากับ10,017 ล้านบาท ,บริษัท เอพี(ไทยแลนด์) จำกัด(มหาชน) หรือ AP มีรายได้เท่ากับ 19,960 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้เท่ากับ 16,160 ล้านบาท ,บริษัท แลนด์ แอนด์เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน) หรือ LH มีรายได้เท่ากับ 12,279 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้เท่ากับ 12,237 ล้านบาท, บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)หรือ SC มีรายได้เท่ากับ 7,888 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้เท่ากับ 6,698 ล้านบาท และ บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน)หรือ SENA มีรายได้เท่ากับ 2,902 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้เท่ากับ 1,536 ล้านบาท
ด้าน”กำไรสุทธิ” บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน) หรือ LH โดดเด่นสุด ที่ 2,739 ล้านบาท แต่ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่เท่ากับ 3,678 ล้านบาท ขณะที่บริษัท ศุภาลัยจำกัด(มหาชน) หรือ SPALI มีกำไรสุทธิเท่ากับ 2,294 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,170 ล้านบาท ,บริษัท เอพี(ไทยแลนด์) จำกัด(มหาชน) หรือ AP มีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,830 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,565 ล้านบาท , บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)หรือ SC มีกำไรสุทธิเท่ากับ 757 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 598 ล้านบาท และบริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน)หรือ SENA มีกำไรสุทธิเท่ากับ 453 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 274 ล้านบาท
ขณะที่”อัตรากำไรสุทธิ” พบว่า บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน)หรือ PS โดดเด่นสุด มีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 34% แต่ยังต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 35% แต่มีเพียง 2 บริษัทเท่านั้นที่มีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อย จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คือ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) หรือ ORI มีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ22.80% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 21.46% และ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)หรือ SC มีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 9.60% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 9%
สำหรับในช่วง 6 เดือนที่เหลือของปี 2563 ผู้ประกอบการอสังหาฯต่างเร่งระบายสต๊อกที่เหลือให้หมดอย่างต่อเนื่อง ส่วนการเปิดตัวโครงการใหม่นั้นส่วนใหญ่จะเน้นการเปิดตัวโครงการแนวราบมากขึ้น ส่วนคอนโดมิเนียม จะมีการเปิดตัวที่น้อยลง เนื่องจากซัพพลายในตลาดยังมีสูงประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว และสถานการณ์โควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย นักลงทุนจากต่างประเทศยังไม่สามารถเดินทางเข้ามายังประเทศไทยได้ แต่ก็มีผู้ประกอบการบางรายแตกแบรนด์ใหม่ ในระดับราคาที่กลุ่มระดับกลางสามารถจับต้องได้ และยังมีการอัดโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่แข่งดุเดือด ไม่เร้าใจเหมือนในช่วงไตรมาส 2/2563 ที่ผ่านมา
กล่าวโดยสรุป ผลประกอบการโดยรวมส่วนใหญ่แม้ว่าจะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาแต่ก็ไม่ถึงกับติดลบ เพราะผู้ประกอบการเริ่มมีการปรับตัวได้เร็วเพื่อรับมือกับวิกฤติโควิด-19 และมีหลายค่ายที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี แต่ก็ทำให้ส่วนใหญ่มีกำไรสุทธิและอัตรากำไรสุทธิที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งคงต้องจับตาดูผลประกอบการในช่วงไตรมาส3-4 ของปี 2563 กันต่อไป ว่าจะฝ่าวิกฤตพลิกฟื้นผลประกอบการกลับมาได้หรือไม่