“อัลติจูด”เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจผ่านกลยุทธ์ Turnkey Asset Development-ร่วมทุนพันธมิตรบิวตี้ เจมส์-ออโรร่า-ตระกูลดัง ภายใต้ 3 จุดแข็ง ลดความเสี่ยงการลงทุน ตั้งเป้าพัฒนาปี 64 รวม 6-7 โครงการ มูลค่า 5,000 ล้านบาท ระบุวิกฤติโควิด-19 ส่งผลปรับแผนเข้า SET แทน mai ในปี65 ด้านบิ๊กบิวตี้ เจมส์ เผยยังมีแลนด์แบงก์ในกทม.-ตจว.หลายแปลง พร้อมเปิดโอกาสรับพันธมิตรร่วมทุน
นายชยพล หรรรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้แบรนด์ “ALTITUDE” เปิดเผยว่า ภายใต้ความกดดันของวิกฤติโควิด-19 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังสามารถขับเคลื่อนไปได้โดยกลุ่มสินค้าระดับลักชัวรี่(Luxury) ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อและมีความต้องการอาศัยอยู่จริง(Real Demand) โดยหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นโอกาสของลูกค้าที่จะได้ซื้อโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพในราคาคุ้มค่าที่สุด เพราะผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ต่างแข่งขันกันปรับลดราคาและโปรโมชั่นลดอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ ตลาดที่ได้รับความนิยมสูงและมีการฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว คือบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ ย่านกลางเมืองและย่านชานเมืองกรุงเทพฯ ที่มีระดับราคาตั้งแต่ 25.90-150 ล้านบาท รวมถึงคอนโดมิเนียมลักชัวรี่ และคอนโดมิเนียมในทำเลที่ติดหรือใกล้กับสถานศึกษา
“จากสถานการณ์โควิด-19 บริษัทได้ปรับแนวคิดรูปแบบใหม่ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป และแก้ไขปัญหาในการอยู่อาศัย ด้วยการออกแบบฟังก์ชั่นบ้านให้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ พร้อมการออกแบบสิ่งอำนวยความสะดวก (Facilities) ที่รองรับไลฟ์สไลต์ชีวิตอย่างครบครัน รวมถึงจำนวนยูนิตที่มีไม่มาก เพื่อตอบโจทย์ความเป็นส่วนตัวในการยกระดับสังคมพรีเมี่ยม” นายชยพล กล่าว
อย่างไรก็ตามบริษัทฯยังคงขับเคลื่อนธุรกิจที่แตกต่างผ่านกลยุทธ์ Turnkey Asset Development โดยร่วมมือกับพันธมิตรหรือเจ้าของกิจการชั้นนำจากหลากหลายวงการ และมีความโดดเด่นในแง่มุมต่างๆ ทำให้เกิดมิติและการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่ ซึ่งที่ผ่านมาได้พัฒนาโครงการหลากหลายเซกเมนต์ตั้งแต่ระดับเออร์เบิน อีโคโนมี (Urban Economy) จนถึงระดับลักชัวรี่ ราคาตั้งแต่ 8 – 96 ล้านบาท ถือว่ามีความโดดเด่นและมีจุดแข็งที่แตกต่าง ภายใต้แนวความคิดการพัฒนาโครงการเพื่อตอบสนองความต้องการในการใช้ชีวิตโดยเน้นไปที่การสร้างสังคมระดับพรีเมี่ยม “LUXOCIETIES” ภายใต้จุดแข็ง 3 ข้อ คือ
1.อสังหาริมทรัพย์ทั้งทางแนวสูงและแนวราบ มีการพัฒนารูปแบบในสร้างพื้นที่ส่วนกลางและฟังก์ชั่นบ้านใหม่ ในลักษณะExclusive Facilities & Service เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตวิถีใหม่ และสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ในอนาคต โดยคำนึงถึงไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตแบบส่วนตัวและสังคมของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย พร้อมด้วยการบริการระดับพรีเมี่ยมเทียบเท่าโรงแรม 5 ดาว มีส่วนกลางที่ทำให้รู้สึกปลอดภัย และการบริการที่มอบให้ เพื่อยกระดับการใช้ชีวิตและสร้างความแตกต่างอย่างเหนือระดับ
2.การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยอย่างใส่ใจรายละเอียดเป็นพิเศษ แบบUltra Ordinary Living เป็นมากกว่าการสร้างที่อยู่อาศัย แต่เพื่อเพิ่มมูลค่าของชีวิต เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และต่อยอดการทำงานสร้างเครือข่าย (Connection) ที่มีความแข็งแรง จากลูกค้ากลุ่มระดับบน Ultra Elite Class เกิดเป็นสังคมระดับบนกลุ่มใหม่ที่รวมของบุคคลชั้นนำจากหลากหลายวงการ นอกจากนั้น ทุกโครงการจะมีการสร้างสังคมแบบ “Successful Society” ผ่านส่วนกลางต่าง หรือรูปแบบจัดกิจกรรมร่วมกันเพื่อให้ลูกบ้านได้รู้จักและสร้างเครือข่ายซึ่งกันและกันได้
3.การหาพันธมิตรทางธุรกิจในลักษณะHonorable Partner ที่เข้าใจตลาดลักชัวรี่อย่างแท้จริง โดยที่ผ่านมาทุกโครงการระดับลักชัวรี่ขึ้นไปของบริษัท เกิดจากความร่วมมือระหว่างบริษัทหรือบุคคลชั้นนำที่มีความน่าเชื่อถือในหลายสาขาผ่านโมเดลธุรกิจ Turnkey Asset Development รับจัดการและพัฒนาสินทรัพย์ โดยใช้องค์ประกอบอยู่ 3 ด้านคือ 1. ที่ดิน สำหรับเจ้าของทรัพย์สินที่ต้องการพัฒนาให้ก่อเกิดรายได้แต่ไม่มีประสบการณ์ 2. เงินทุน 3. ทีมงาน เช่น กรณีการร่วมทุนและบริหารโครงการให้ “นายสุริยน ศรีอรทัยกุล” เจ้าของบิวตี้ เจมส์ บริษัทอัญมณีอันดับหนึ่งของไทย และ Honorable Partner อื่นๆ อีกมากมาย
สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2564 ตั้งเป้าจะดำเนินงานในรูปแบบของการร่วมทุนกับพันธมิตรเพื่อพัฒนาโครงการ และ รูปแบบ Turnkey Asset Development ประมาณ 6-7 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นการเข้าไปดำเนินการในรูปแบบ รูปแบบ Turnkey Asset Development ให้กับนายสุริยน ศรีอรทัยกุล ประมาณ 4 โครงการ ซึ่งเป็นที่ดินที่ตั้งอยู่ในสนามกอล์ฟ รอยัลเจมส์ ศาลายา จ.นครปฐม 3 โครงการ และที่ดินในเมืองอีก 1 โครงการ ซึ่งได้ทยอยทำออกมาพัฒนา ได้แก่
1.โครงการ “ดิ วัน เบลลาจิโอ” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 15 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของคฤหาสน์หรู พื้นที่เริ่มต้นที่ 1-2 ไร่ ราคาตั้งแต่ 34-70 ล้านบาท จำนวน 12 ยูนิต มูลค่าโครงการ 474 ล้านบาท ซึ่งได้เปิดให้จองในรอบ VVIP ไปแล้วเมื่อไตรมาส 3/2563 ที่ผ่านมา ซึ่งมีลูกค้าสนใจประมาณ 3-4 ยูนิต และจะเปิดขายสำหรับลูกค้าทั่วไปในต้นปี 2563
2.โครงการ”เดอะ วัน พาร์ค คอนโด” เป็นการรีโนเวทคอนโดฯเดิม จำนวน 84 ยูนิต มาขายใหม่ในราคา 1.9 ล้านบาท
3.โครงการ”เดอะ วัน ฟอเรสท์” เป็นบ้านสำหรับคนรุ่นใหม่ จำนวน 40 ยูนิต ราคา 4-6 ล้านบาท
ส่วนโครงการที่ 4.บ้านล็อกโฮม ซึ่งยังไม่ได้ตั้งชื่อโครงการ เป็นบ้านตากอากาศใจกลางเมือง จำนวน 14 ยูนิต ราคา 4-6 ล้านบาท ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะนำที่ดินกว่า 10 ไร่ ในพื้นที่ “สนามกอล์ฟ รอยัลเจมส์ ศาลายา จ.นครปฐม”มาพัฒนาในรูปแบบโรงเรียนนานาชาติ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจากับกลุ่มนักธุรกิจที่จะเข้ามาดำเนินธุรกิจโรงเรียนนานาชาติ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
อีกทั้งยังมีการพัฒนาโครงการในรูปแบบ Turnkey Asset Development กับพันธมิตรอีก 1 รายคือ เป็นคอนโดฯ ใกล้สถานทูตจีน ถนนรัชดาภิเษก มูลค่าโครงการ 340 ล้านบาท
ส่วนโครงการที่ร่วมทุนกับพันธมิตร มี 3 โครงการ คือ
โครงการร่วมทุนกับกลุ่มออโรร่า ผู้ดำเนินธุรกิจร้านทอง ด้วยการนำที่ดินของกลุ่มออโรร่ามูลค่าประมาณ 200 ล้านบาท จำนวนประมาณ 5 ไร่ บริเวณอุดมสุข ถนนสุขุมวิท มาพัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ ภายใต้แบรนด์ “อัลติจูด มาสเตอรี่ สุขุมวิท” ขนาดตั้งแต่ 66-199 ตารางวา ราคาเริ่มต้นที่ 24.9-55 ล้านบาท จำนวน 16 ยูนิต มูลค่าโครงการ 416 ล้านบาท
โครงการคราฟ (KRAF)ซึ่งเป็นที่ดินของตระกูลดัง ย่านเมกะบางนา บนพื้นที่ 39 ไร่ มีแผนพัฒนาเป็นทาวน์โฮม ราคา 2,59-5 ล้านบาท จำนวน 402 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,469 ล้านบาท
และการพัฒนาโครงการ “ฟอเรสท์”ย่านบางนา-ตราด ในรูปแบบของบ้านแฝด มูลค่าโครงการ 300 ล้านบาท แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
สำหรับโครงการที่อยู่ในระหว่างการเปิดขายในปัจจุบันมี 6 โครงการ มูลค่าโครงการ 5,215 ล้านบาท ได้แก่ อัลติจูด ยูนิคอร์น , มาสเตอรี่ พหลโยธิน24, พรูฟ เกษตร-นวมินทร์,พรูฟ พระราม9,อัลติจูด ซิมโฟนี เจริญกรุง – สาทร และโครงการวัน อัลติจูด เจริญกรุง (One Altitude Charoenkrung)
โดย “วัน อัลติจูด เจริญกรุง” เป็นโครงการที่ร่วมทุนระหว่าง “อัลติจูด” สัดส่วน 50%และกลุ่ม นายสุริยน ศรีอรทัยกุล กับ ดร.นภัสนันท์ พรรณิภา ประธานเจ้าหน้าที่ บริษัท ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) สัดส่วน 50% ก่อตั้งบริษัท วัน อัลติจูด จำกัด ขึ้นมาด้วยทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท พัฒนาคอนโดมิเนียม Branded Residences สูง 21 ชั้น บริเวณถนนจันทน์ บนที่ดินทั้งหมด 500 ตารางวา ขนาดพื้นที่เริ่มต้นที่ 31.8-269 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 6.5-65 ล้านบาท จำนวน 85 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,152 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้วประมาณ 70%
สำหรับแผนการนำบริษัทฯเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในปี 2564 แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 และสภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว ส่งผลให้ปรับกลยุทธ์ใหม่เปลี่ยนเป็นการนำบริษัทฯเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET)ในปี 2565 แทน เนื่องจากในปีดังกล่าวเป็นช่วงที่บริษัทฯมีพอร์ตธุรกิจที่ใหญ่ เพียงพอที่จะเข้าจดทะเบียนใน SET ได้
อย่างไรก็ตามในปี 2563 นี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมที่ 2,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 2562 ที่ทำได้ 2,200 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้ที่ 450 ล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมามีรายได้ที่ 584 ล้านบาท
นายสุริยน ศรีอรทัยกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บิวตี้ เจมส์ จำกัด บริษัทอัญมณีอันดับหนึ่งของประเทศไทย กล่าวว่า เดิมครอบครัวดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มาประมาณ 30 ปี ทั้งในรูปแบบของสนามกอล์ฟ “รอยัล เจมส์ ศาลายา นครปฐม” และสนามกอล์ฟ รังสิต คลอง6 “รอยัล เจมส์ กอล์ฟ ซิตี้” และการพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบ ซึ่งที่ผ่านมาตนมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจอัญมณี เป็นหลัก แต่ที่ดินที่เป็นแลนด์แบงก์ โดยเฉพาะในสนามกอล์ฟ “รอยัลเจมส์ ศาลายา นครปฐม” ยังมีเหลือพัฒนาอีกเกือบ 600 ไร่ และบริเวณโดยรอบสนามกอล์ฟอีกกว่า 300 ไร่ ซึ่งที่ผ่านมามีการตัดแบ่งขายไปเกือบ 120 ไร่ ขณะเดียวกันก็มีผู้ประกอบการรายใหญ่ สนใจขอซื้อที่ดินในสนามกอล์ฟอีกประมาณ 4-5 ราย แต่ตนไม่ต้องการขาย เนื่องจากต้องการเก็บไว้เป็นสินทรัพย์
จนกระทั่งมีโอกาสได้เจรจากับกลุ่มอัลติจูดฯ และมีความคิดในทิศทางเดียวกัน จึงเกิดการร่วมทุนพัฒนาโครงการ และการบริหารโครงการในรูปแบบของ Turnkey Asset Development ด้วย อย่างไรก็ตามรูปแบบการร่วมทุนในแลนด์แบงก์ที่เหลือทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด อาทิ นครปฐม,ราชบุรี, เขาใหญ่-นครราชสีมา,ภูเก็ต,เชียงใหม่ และพัทยา-ชลบุรี ก็เปิดกว้างที่จะให้พันธมิตรอื่นเข้ามาร่วมทุนด้วยเช่นกัน แต่ทั้งนี้ต้องมีแนวคิดเป็นไปในทิศทางเดียวกัน