อสังหาฯเจอวิกฤติซ้ำซ้อน สั่งปิดแคมป์งาน-ไฟไหม้รง.ลูกบ้าน-คนงานหนีตาย

  • Post author:
You are currently viewing อสังหาฯเจอวิกฤติซ้ำซ้อน สั่งปิดแคมป์งาน-ไฟไหม้รง.ลูกบ้าน-คนงานหนีตาย
จากกรณีที่ถังเก็บสารเคมีระเบิดภายในโรงงานผลิตเม็ดโฟมและพลาสติก ซึ่งดำเนินงานโดย บริษัท หมิงตี้เคมิคอล จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 87 หมู่ 15 ซอยกิ่งแก้ว 21 ถนนกิ่งแก้ว ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อเวลาประมาณ 03.00 น. วันที่ 5 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งแรงอัดทำให้บ้านเรือนและโรงงานที่อยู่โดยรอบรัศมี 500 เมตร ได้รับความเสียหายในวงกว้างจากแรงระเบิดของสารเคมีภายในโรงงาน ผลจากแรงสั่นสะเทือน ทำให้เพดาน ผนังอาคาร กระจก แตกกระจัดกระจาย

 

โดยข้อมูลจากบริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด (ESRI THAILAND) ผู้เชี่ยวชาญด้าน Location Intelligence ได้สรุปไว้ว่าในรัศมี 5 กิโลเมตร (กม.)จากเหตุไฟไหม้กิ่งแก้ว พบว่า บริเวณโดยรอบมีหมู่บ้านจัดสรร 206 โครงการ ซึ่งพัฒนาโดยผู้ประกอบการรายใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แทบทุกค่าย และมีผู้ประกอบการรายเล็ก และผู้ประกอบการในพื้นที่อีกบางส่วน  ส่วนคอนโดมิเนียม มีจำนวน  99 โครงการ  ส่วนใหญ่เป็นโครงการแบรนด์ “นิรันดร์เรสซิเดนซ์” ที่เป็นเจ้าตลาดโซนตะวันออกของกทม.มากว่า 30 ปี  ที่เหลือจะเป็นผู้ประกอบการรายเล็ก
นอกจากนี้ยังมีสถานที่ราชการ 52 แห่ง ปั๊มน้ำมัน 34 แห่ง สถานรับเลี้ยงเด็ก 10 แห่ง และโรงพยาบาล 2 แห่ง เมื่อซูมเข้าไปในรัศมี 3 กิโลเมตร พบว่า มีหมู่บ้านจัดสรรมากถึง 72 แห่ง สถานที่ราชการ 12 แห่ง ปั๊มน้ำมัน 10 แห่ง คอนโดมิเนียม 7 แห่ง สถานรับเลี้ยงเด็ก 1 แห่ง และโรงพยาบาล 1 แห่ง ถือเป็นพื้นที่เสี่ยงสูง ส่วนในรัศมี 1 กิโลเมตร พบว่า มีหมู่บ้านจัดสรร 3 แห่ง สถานรับเลี้ยงเด็ก 1 แห่ง ถือเป็นพื้นที่เสี่ยงสูงมาก ส่วนพื้นที่เสี่ยง ประกอบด้วย หมู่บ้านจัดสรร 131 แห่ง คอนโดมิเนียม 92 แห่ง สถานที่ราชการ 40 แห่ง ปั๊มน้ำมัน 24 แห่ง สถานรับเลี้ยงเด็ก 8 แห่ง และโรงพยาบาล 1 แห่ง
นายปิยะ ประยงค์
พฤกษาฯอ่วมรับผลกระทบ 10 โครงการ

 ซึ่งจะเห็นว่ามีอสังหาฯหลายโครงการในพื้นที่เสี่ยงได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ prop2morrow ได้สัมภาษณ์ นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน)หรือ PS เปิดเผยว่า จากจุดเพลิงไหม้ ในรัศมี 5-10 กิโลเมตร บริษัทฯมี 10 โครงการแนวราบที่ได้รับผลกระทบ โดยแบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 8 โครงการ และทาวน์เฮาส์ 2 โครงการ ได้แก่

1.พาทิโอ บางนา-วงแหวน

2.พฤกษาวิลล์ 97 วงแหวน-อ่อนนุช

3.เดอะคอนเนค 47 สุวรรณภูมิ

4.พฤกษาวิลล์ 92 อ่อนนุช-สุวรรณภูมิ

5.พฤกษาวิลล์ 76 บางนา-วงแหวน

6.พฤกษาปูริ แสนแก้ว

7.เดอะคอนเนค 33 อ่อนนุช-วงแหวน

8.เดอะคอนเนค 33 อ่อนนุช-วงแหวน 2

9.ภัสสร บางนา-วงแหวน

10.ภัสสร บางนา-สุวรรณภูมิ

ในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการที่อยู่ในระหว่างการเปิดขายจำนวน 4 โครงกา มียอดขายรวมประมาณ 100 ล้านบาทต่อเดือน หากปิดสำนักงานขาย 2 สัปดาห์ก็จะสูญไปประมาณ 50 ล้านบาท   ซึ่งยังไม่ได้มีการปรับแผนรับมือในด้านการตลาด-และการขายแต่อย่างใด เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน โดยพนักงานขายโครงการในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบให้หยุดการทำงานในพื้นที่ดังกล่าว และให้ไปช่วยที่สำนักงานขายโครงการอื่นในบริเวณใกล้เคียง ที่ไม่ได้รับผลกระทบเป็นการชั่วคราวก่อน

ในเบื้องต้นบริษัทฯได้เน้นให้ความช่วยเหลือลูกบ้านที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงและได้รับผลกระทบก่อน ด้วยการประสานงานกับโรงแรมต่างๆในพื้นที่ใกล้เคียง แต่ไม่ได้รับผลกระทบ ให้ลูกบ้านได้ไปพักเป็นการชั่วคราว โดยมีทีมงานให้ความช่วยเหลือในการขนย้ายลูกบ้าน ส่วนจะเป็นระยะเวลากี่วัน คงต้องประเมินสถานการณ์วันต่อวัน
นอกจากนี้ในส่วนของโครงการในกลุ่มบ้านเดี่ยวที่ได้รับผลกระทบ จะมีการเพิ่มพนักงานรักษาความปลอดภัย ในการเฝ้าระวังบ้านทุกหลังในโครงการในช่วงที่เจ้าของบ้านย้ายไปพำนักที่อื่นเป็นการชั่วคราว ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นอุบัติเหตุ ที่ให้บทเรียนเป็นอย่างดี ส่วนในอนาคตจะมีการพัฒนาโครงการใกล้โรงงานอีกหรือไม่ คงต้องพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง

“ขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินมูลค่าความเสียหาย และต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากเหตุระเบิดและเพลิงไหม้ในครั้งนี้ได้  เพราะเน้นให้ความช่วยเหลือลูกบ้านให้ได้รับความปลอดภัยก่อน ส่วนความช่วยเหลือจากภาครัฐในขณะนี้คงไม่คาดหวังอย่างใด เพราะขนาดสั่งปิดแคมป์-ไซต์งานก่อสร้าง บอกว่าจะให้ความช่วยเหลือแรงงาน จนบัดนี้ก็ไม่ได้ให้การช่วยเหลือแต่อย่างใด ทุกอย่างยังเป็นภาระของผู้ประกอบการ”

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม

SPALI รับเต็มๆ 1 โครงการเร่งเคลื่อนย้ายลูกค้าซ่อมแซมบ้าน

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด(มหาชน)หรือ SPALI กล่าวว่า ในรัศมี 5 กิโลเมตรจากเหตุเพลิงไหม้โรงงาน ศุภาลัยฯมี 3 โครงการที่ได้รับผลกระทบ โดยปิดการขายไปแล้ว 2 โครงการ และอยู่ในระหว่างการเปิดขาย 1 โครงการ คือ “ศุภาลัย วิลล์ บางนาวงแหวน” ที่ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 50% และเป็นโครงการที่ได้รับผลกระทบและได้รับความเสียหายมากที่สุด แต่ยังไม่สามารถประเมินมูลค่าความเสียหายได้

โดยทันทีที่ทราบข่าวทางบริษัทฯก็ระดมทีมงานทุกมาช่วยลูกค้าทุกราย รวมประมาณ 180 ครัวเรือน ด้วยการขนย้ายไปพักชั่วคราวที่โรงแรมที่ทางบริษัทฯจัดหาไว้ให้  ส่วนบ้านที่เสียหายทางบริษัทจะรีบซ่อมแซมให้โดยเร็ว ส่วนคนงานก่อสร้างในกรณีฉุกเฉินเช่นนี้สามารถเคลื่อนย้ายก็ไปก่อเป็นการชั่วคราวได้ และในวันนี้ก็จะเคลื่อนย้ายกลับเข้ามาช่วยงานซ่อมแซมบ้านที่เสียหายของลูกค้าก่อน

นายไตรเตชะ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีเหตุเพลิงไหม้ในครั้งนี้ คงไม่ทำให้ผู้ที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยขยาดโครงการที่อยู่ใกล้โรงงานอุตสาหกรรมแต่อย่างใด เพราะเหตุการณ์ในรูปแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ประกอบกับโรงงานที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ในครั้งนี้บังเอิญเป็นโรงงานขนาดใหญ่ ซึ่งได้มีการก่อตั้งและประกอบธุรกิจตั้งแต่ปี 2532 ที่ในช่วงนั้นยังไม่ได้มีการกำหนดผังเมืองอย่างชัดเจน โดยผังเมืองได้มีการกำหนดเป็น เขตพื้นที่สีแดง เมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา  ดังนั้นโรงงานที่ประกอบธุรกิจมาก่อนหน้านั้นจึงสามารถดำเนินการต่อไปได้

“บทเรียนในครั้งนี้สอนให้รู้ว่า ต้องไม่ใช้ชีวิตอย่างประมาท เมื่อเกิดวิกฤติขึ้นมา ก็ต้องจัดการให้รวดเร็วที่สุด โดยสิ่งแรกที่เราเข้าดำเนินการคือ การเข้าไปช่วยเคลื่อนย้ายลูกค้า และหาโรงแรมให้พักชั่วคราว ในระหว่างนั้นเราก็จะรีบซ่อมแซมบ้านให้กับลูกค้าอย่างเร็วที่สุด ส่วนมาตรการความช่วยเหลือจากภาครัฐขณะนี้ยังไม่คาดหวัง คงต้องช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุดก่อน”

อนึ่ง เขตพื้นที่สีแดง เป็นที่ดินประเภทพาณิชยกรรม แบ่งออกเป็น 5 ระดับ คือ ที่ดินประเภท พ.1 – พ.5 ที่ดินประเภทนี้ ให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อพาณิชยกรรม การอยู่อาศัย สถาบันราชการ การสาธารณูปโภค และสาธารณูปการเป็นส่วนใหญ่ สำหรับการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่นให้ใช้ได้ไม่เกิน ร้อยละสิบของ ที่ดินประเภทนี้ในแต่ละบริเวณ และห้ามใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการตามที่กำหนด ส่วนมากจะอยู่ในเมืองใหญ่ๆ การใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่นให้ใช้ได้ไม่เกิน ร้อยละสิบ และห้ามใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการตามที่กำหนด

ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์

SENA โล่งอก 3 โครงการอยู่นอกรัศมี

ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA กล่าวว่า ทางเสนาฯโชคดีที่โครงการอยู่ในรัศมีเหตุเพลิงไหม้ระยะ 6-7 กิโลเมตร โดยเป็นโครงการที่อยู่ในระหว่างการเปิดขายทั้งหมด 3 โครงการ แบ่งเป็น

แนวราบ 1 โครงการ คือ เสนา วีว่า ฉลองกรุงลาดกระบัง

-คอนโดฯต่ำกว่า 1 ล้านบาท 1 โครงการ คือ เสนาคิทท์ ฉลองกรุง-ลาดกระบัง

คอนโดฯไฮไรส์ 1 โครงการ คือ นิช โมโนเมกะ สเปซ บางนา

ซึ่งทั้ง 3 โครงการ มียอดขายเฉลี่ยประมาณ 80-90% ส่วนการก่อสร้างคอนโดฯนั้นคืบหน้าไปแล้ว 70-90%  ด้านแนวราบมีการก่อสร้างไปแล้วประมาณ 20 หลัง ดังนั้นทุกโครงการจึงยังไม่ได้มีการโอนกรรมสิทธิ์แต่อย่างใด ประกอบกับรัศมีที่ตั้งโครงการไม่ได้รับผลกระทบทั้งความเสียหายทั้งทรัพย์สินและกลิ่นสารพิษ จึงไม่ต้องขนย้ายแรงงานออกนอกพื้นที่

“หลังทราบข่าว เราก็มีการเตรียมรับมือไว้อยู่แล้วว่า หากเพลิงไหม้มาหรือแรงระเบิดเข้ามาใกล้โครงการ เราก็ได้จัดเตรียมรถบรรทุกไว้ขนคน เพื่อเอาไปไว้ในโครงการใกล้เคียงที่อยู่ในจุดที่ปลอดภัยก่อน แต่สุดท้ายก็มีความโชคดีที่ความรุนแรงของเหตุเพลิงไหม้กระจายไม่ถึงที่ตั้งโครงการ จึงไม่ต้องมีการเคลื่อนย้ายแรงงาน และไม่มีการสูญเสียทรัพย์สินแต่อย่างใด แต่เรื่องแคมป์งานก่อสร้างที่ถูกปิด และภาครัฐบอกว่าจะมีมาตรการเยียวยา จนบัดนี้ก็ยังไม่เห็นวี่แวว ซึ่งยังเป็นภาระของบริษัทอยู่ โดยทุก 3-4 จะนำอาหารแห้งไปให้คนงาน ซึ่งก็ไม่อยากจะให้คนงานกินแต่มาม่า และอาหารกระป๋อง ขณะนี้อยู่ในระหว่างการหา Solution อยู่”

อย่างไรก็ตามจากเหตุการณ์เพลิงไหม้โรงงานในครั้งนี้ คงไม่ทำให้ผู้บริโภคหวาดกลัวที่จะหาซื้อที่อยู่อาศัยใกล้โรงงาน เพราะทุกวันนี้มีโรงงานและนิคมอุตสาหกรรมเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก และดีมานด์ก็มีความต้องการที่อยู่อาศัยใกล้แหล่งงาน

อย่างไรก็ตามในระยะแรกดีมานด์อาจจะมีความกังวลใจไม่กล้าซื้อที่อยู่อาศัยใกล้โรงงานอีก แต่ด้วยกลไกการใช้ชีวิต และกลไกการตลาด ก็ต้องบังคับให้ดีมานด์ที่ทำงานในพื้นที่โรงงานต้องเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียง

“ความเสียหายครั้งนี้ไม่ใช่หน้าที่ของผู้ประกอบการ โดยบทเรียนในครั้งนี้รัฐบาลควรจะแก้ไขว่าสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้ จนเกิดความเสีญหายอย่างมหาศาลในครั้งนี้มาจากอะไร  ผิดกฎหมายหรือไม่ โรงงานที่ดำเนินการอยู่นี้มีใบอนุญาตอย่างถูกต้องหรือไม่” ผศ.ดร.เกษรา กล่าว

นายภวรัญชน์ อุดมศิริ

เครือ FPT 3 โครงการไม่เสียหายด้านทรัพย์สิน แต่กระทบด้านมมลพิษ

นายภวรัญชน์ อุดมศิริ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารโครงการที่อยู่อาศัย (กรุงเทพและปริมณฑล) บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด ในเครือ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT กล่าวว่า ในรัศมี 5 กิโลเมตร บริษัทมีโครงการที่อยู่ในระหว่างการเปิดขายทั้งสิ้น 3 โครงการ แต่ไม่ได้รับผลกระทบและได้รับความเสียหายด้านทรัพย์สินแต่อย่างใด แต่ได้รับผลกระทางด้านมลพิษ จึงมีลูกบ้านย้ายออกไปอยู่บ้านญาติหรือบ้านที่ต่างจังหวัดเป็นจำนวนมาก ได้แก่

1.โกลเด้น นีโอ บางนากิ่งแก้ว ปัจจุบันมียอดขาย 30% มียอดโอนประมาณ 25% จากเหตุการณ์เพลิงไหม้มีผู้อพยพออกไปประมาณ 90%

2.โกลเด้น ทาวน์ บางนาสวนหลวง ปัจจุบันมียอดขาย 80% มียอดโอนประมาณ 75% จากเหตุการณ์เพลิงไหม้มีผู้อพยพออกไปประมาณ 30-40%

3.โกลเด้น ทาวน์ เฉลิมพระเกียรติสวนหลวง ปัจจุบันมียอดขาย 90% มียอดโอนประมาณ 80% จากเหตุการณ์เพลิงไหม้มีผู้อพยพออกไปไม่เกิน 50%

“ลูกบ้านอพยพย้ายออกไปจากบ้านตั้งแต่เช้า ซึ่งเราไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือขนย้ายได้ทัน แต่โชคดีที่บ้านทุกหลังไม่ได้รับความเสียหาย แต่จากเหตุการณ์ดังกล่าวบริษัทฯได้ให้ฝ่ายขายและการก่อสร้างหยุดดำเนินการไปก่อนเป็นระยะเวลา 2 วัน เพื่อสร้างความปลอดภัย”นายภวรัญชน์ กล่าว

อย่างไรก็ตามในช่วงระยะเวลาอันสั้นนี้ ดีมานด์ที่จะซื้อที่อยู่อาศัยอาจจะมีความกังวลกับโครงการที่อยู่ใกล้โรงงาน แต่ส่วนหนึ่งก็คิดว่าในอนาคตรัฐบาลคงมีมาตรการออกมาควบคุมเรื่องความปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งผังเมืองเดิมนั้นสามารถให้ก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมได้ แต่ผังเมืองใหม่เพิ่งมาปรับเปลี่ยนไม่นาน จึงมีที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก

“ตั้งแต่รัฐสั่งปิดไซต์และแคมป์คนงาน เราก็ไม่ได้มีการก่อสร้างแต่อย่างใด แต่ก็ยังไม่เห็นภาครัฐเข้ามาเยียวยาแรงงานก่อสร้างทั้งอาหาร และเงินช่วยเหลือ ที่ผ่านมาทุกบริษัทต้องแบกรับภาระ ในส่วนของเฟรเซอร์สฯมีคนงานก่อสร้างเกือบ 3,000 คน จาก 50 โครงการ ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ต้องมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเพื่อช่วยเหลือแรงงานขั้นต่ำวันละประมาณ 300,000 บาท หากหยุดก่อสร้าง 1 เดือน ก็เตรียมเงินไว้ได้เลยไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท”

ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์

นายกสภาวิศวกรแนะ 5 ข้อเสนอย้ายโรงงานอันตรายออกนอกเมือง

ขณะเดียวกันเพจของ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และ นายกสภาวิศวกร ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า เมืองไทย ไม่เคยไกลจากภัยพิบัติ พี่เอ้มีคำตอบ  เพราะการป้องกัน #จะทำก็ทำได้

….อีกครั้ง เช้ามืดวันนี้ (5 กรกฎาคม 2564) โรงงานระเบิดกลางพื้นที่ชุมชนถนนกิ่งแก้ว ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ และเส้นทางบางนาสายหลักเข้ากรุงเทพฯ ไฟไหม้รุนแรง และปล่อยก๊าซมลพิษ สร้างความเสียหายรุนแรงต่อสุขภาพคนเมือง

…เมื่อปลายปีที่แล้ว ท่อแก๊สระเบิด แถวขอบกรุงเทพฯ-สมุทรปราการ กลางวันแสกๆ มีผู้เสียชีวิต บ้านเรือนหลายหลังถูกเผาวอดวาย…

พี่เอ้ ในฐานะนายกสภาวิศวกร (และชาวบ้านคนหนึ่งที่มีครอบครัว) ขอเสนอ

1.การกำหนดพื้นที่เสี่ยง ที่มีโรงงานทำสารเคมี หรือบรรจุสารเคมีในกทม. หรือแนวที่ท่อแก๊สพาดผ่าน ให้ชาวบ้านได้รับรู้รับทราบ และได้พึงระวัง เพราะหากเกิดอุบัติเหตุ ได้มีการป้องกันตน และการเตรียมการอพยพได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งหน่วยงานดับเพลิงของกทม. และจังหวัดปริมณฑลในพื้นที่เสี่ยง ที่มีโรงงานเคมี จะต้องมีอุปกรณ์ดับเพลิง และอุปกรณ์ป้องกันสารเคมีแก่นักดับเพลิง ให้พร้อม!

2.อาจถึงจุดเปลี่ยน ที่โรงงานอันตราย ควรย้ายออกจากพื้นที่เมือง แน่นอนโรงงานเขาอาจมาก่อน ชุมชนเมืองขยายตามมาเอง แต่รัฐและเมือง ในต่างประเทศ ได้เสนอความช่วยเหลือทางภาษีและอื่นๆ หากโรงงานเต็มใจย้าย (ที่จริง ขายที่ก็กำไรอภิมหาศาล แล้วนำกำไรไปขยายโรงงานในเขตนิคมอุตสาหกรรมได้!)

3.สำนักงานเขต หรือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ต้องขึ้นทะเบียนโรงงานทุกประเภท เพื่อจำแนกประเภทเสี่ยงมาก เสี่ยงปานกลาง เสี่ยงน้อย (ทุกโรงงานมีความเสี่ยง) เพื่อตรวจสอบ ประเมินทุก 6 เดือน และให้โรงงานส่งรายงานการประเมินตนเอง แบบนี้ได้ความกระตือรือร้น ความเสี่ยงต่อชาวบ้าน ลดน้อยลงทันที!

4.ต้องรายงานมลพิษ และสารก่อมะเร็งในอากาศ อย่างตรงไปตรงมา เพื่อประชาชนได้ป้องกันสุขภาพตนเองและครอบครัว เพราะสารอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน ที่เกิดจากเพลิงไหม้เม็ดพลาสติก อันตรายถึงชีวิต

5.ถึงเวลาพัฒนานวัตกรรม การควบคุมเพลิงสารพิษ เพราะในอดีตเกิดความสูญเสียของนักดับเพลิงจำนวนมาก เพราะฉีดน้ำช่วยลดความร้อนเท่านั้น มิได้ผลยับยั้งเพลิงจากสารเคมี แต่ต้องใช้โฟมดับเพลิง

“ระเบิดในกทม.และปริมณฑลแบบนี้ เราเจอมาตั้งแต่เด็ก ไม่อยากให้ลูกหลานเรา ต้องพบเจอต่อๆไปครับ”

 

 

 

toppercool

CEO,Prop2morrow Blogger อสังหาฯ , นักการตลาดดิจิตัล สาย Content marketing