SPALI มั่นใจผุดโครงการ-กวาดยอดขาย-รายได้ปี’64ตามแผน

  • Post author:
You are currently viewing SPALI มั่นใจผุดโครงการ-กวาดยอดขาย-รายได้ปี’64ตามแผน
ศุภาลัยฯ เผยโควิด-19 ยังส่งผลกระทบอสังหาฯลากยาวถึงปี65 แบงก์เพิ่มความเข้มปล่อยสินเชื่อ โอดรัฐผ่อนคลายเปิดแคมป์แต่บางสนง.เขตยังมีปัญหา งานก่อสร้างเดินหน้ายังไม่ 100% มั่นใจไม่มีปัญหาขาดแคลนแรงงาน ครึ่งปีหลังเปิดตัวตามแผนรวม 22 โครงการ มูลค่า 24,820 ล้านบาท  ด้านโครงการร่วมทุนในออสเตรเลียครึ่งปีแรกยอดขายพุ่งจากมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ แต่ครึ่งปีหลังชะลอตัวจากการล็อกดาวน์ คาดทั้งปีกวาดยอดขายรับรู้รายได้ตามเป้าที่ 27,000 ล้านบาท และ28,000 ล้านบาท
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดในครึ่งปีหลัง 2564 ว่าสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศยังมีความไม่แน่นอน และคงแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องไปถึงปี2565 ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทย และภาคอสังหาริมทรัพย์ในประเทศที่ยังมีแรงกดดันเข้ามาต่อเนื่องจากปีก่อน ทำให้ผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์ต่างๆในประเทศยังคงติดตามสถานการณ์ของสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อนำมาพิจารณาในการปรับแผนการดำเนินงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดโครงการใหม่ในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งบริษัทฯมองว่าได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะจากเดิมที่เคยมองว่าภาพรวมในประเทศปี 2564 จะกลับมาฟื้นตัวได้ดีขึ้น แต่ปัจจุบันภาพได้กลับกัน และสภาพตลาดในปัจจุบันไม่เอื้ออำนวยในการเปิดโครงการใหม่ ทำให้ผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์ต่างยังไม่เร่งการกลับมาเปิดโครงการใหม่ในช่วงนี้ เพื่อรอติดตามสถานการณ์

และเชื่อว่าการเปิดตัวโดยรวมในพื้นที่กทม.ปริมณฑล จะเปิดตัวน้อยกว่าปี 2563 ที่ผ่านมา ขณะเดียวกันเทรนด์การปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินจะมีความเข้มงวดมากขึ้น ด้านงานก่อสร้างแม้ว่าจะผ่อนคลายการเปิดแคมป์ แต่ความไม่แน่นอนก็ยังมีอยู่ เพราะมีแรงงานบางส่วนที่ออกไปอยู่นอกแคมป์ ยังมีแนวโน้มที่จะกลับมาทำงานได้ 85-90% เพราะสำนักงานเขตบางพื้นที่มีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดนอกเหนือจากมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019  (ศบค.) จึงทำให้มีความยุ่งยากเล็กน้อย แต่ผู้ประกอบการก็ยังมีโอกาสได้ปรับตัว ซึ่งในส่วนของบริษัทฯมั่นใจว่าจะไม่มีอุปสรรคในเรื่องยอดโอนอย่างแน่นอน  แม้ว่าในช่วงเดือนกรกฎาคม 2564 ต้องหยุดการโอนไป 1 เดือน ซึ่งเดิมบริษัทมีแผนการเริ่มโอนโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ในเดือนดังกล่าว จำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวม 14,200 ล้านบาท ได้แก่ โครงการศุภาลัย พรีเมียร์ เจริญนคร โครงการศุภาลัย รีวา แกรนด์ และโครงการศุภาลัย เวอแรนด้า สถานีภาษีเจริญ  ซึ่งมียอดขายแล้ว 90%

“บริษัทฯมีความห่วงใยแรงงานก่อสร้างเสมอ มีการใช้มาตรการตามระบบสาธารณสุข เพราะเป็นกลุ่มที่ถูกสังคมมองว่าเป็นผู้ร้าย หรือกระจกสีชา ดังนั้นจะต้องทำตัวเองให้ Cleanที่สุด  บางบริษัทฯประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน แต่เรายังไม่ประสบปัญหานี้” นายไตรเตชะ กล่าว

สำหรับแผนงานครึ่งปีหลัง 2564 บริษัทฯ ยังมุ่งมั่นการเปิดตัวโครงการใหม่ต่อเนื่อง ทั้งโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียม รวม 22 โครงการ มูลค่า 24,820 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบ จำนวน 18 โครงการ และคอนโดมิเนียม 4 โครงการ ซึ่งปัจจุบันต้องยอมรับว่าการแพร่ระบาดโควิด-19 ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2564 เป็นต้นมา ส่งผลให้บริษัทฯยังชะลอการเปิดโครงการใหม่อยู่ โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม จากภาวะตลาดที่ยังไม่เอื้ออำนวย  ทำให้การเปิดโครงการใหม่จะไปกระจุกตัวอยู่ในช่วงไตรมาส 4/2564 และคาดว่าอาจะมีโครงการบางส่วนต้องเลื่อนตัวไปเปิดในช่วงปี 2565 แทน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโครงการคอนโดมิเนียม

“เราคาดหวังว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะสามารถเห็นคลี่คลายได้ก่อนเดือนตุลาคมนี้  แต่หากลากยาวงต่อไปอีกก็อาจจะต้องเลื่อนการเปิดโครงการไปปีหน้าบางส่วน และโครงการส่วนใหญ่ที่เราเปิดในครึ่งปีหลังคงเป็นโครงการที่ราคาขาย 3-5 ล้านบาท เป็นหลัก เพราะเป็นกลุ่มลูกค้าที่ยังมีกำลังซื้อที่ดีอยู่ แม้ว่าปัจจุบันแบงก์จะเข้มงวดปล่อยสินเชื่อมากขึ้น แต่จะเข้มงวดไปที่โครงการที่ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทลงมามากกว่า”นายไตรเตชะ กล่าว

ส่วนยอดขายยังคงได้รับผลกระทบจากการเข้ามาเยี่ยมชมโครงการของลูกค้าที่ลดลงไปค่อนข้างมากจากช่วงที่ผ่านมา หลังจากสถานการณ์ในประเทศยังไม่มีแนวโน้มดีขึ้น ทำให้ลูกค้าชะลอการเดินทางเข้ามาซื้อ เนื่องจากกังวลเรื่องการติดเชื้อโควิด-19 และการระมัดระวังการจับจ่าย ประกอบการการเปิดโครงการใหม่ที่ชะลอออกไป ทำให้ยอดขายในช่วงไตรมาส 3/2564  จะยังคงเห็นการชะลอตัวไปค่อนข้างมาก แต่บริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์เพื่อสร้างโอกาสในการขาย จากการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการขายและเยี่ยมชมโครงการแบบออนไลน์ เพื่อทำให้ลูกค้ายังสามารถเห็นห้องตัวอย่างและปรึกษาพนักงานขายได้

“ไตรมาส 3/2564 เป็นไตรมาสที่ได้รับผลกระทบมาก ส่งผลต่อยอดขายและยอดโอนที่ชะลอตัวลงแน่นอน ยอดขายก็กระทบจากมูสของตลาดที่ซึมลงไป แม้ว่าจะยังมีความต้องการซื้อบ้าน แต่ก็ยังชะลอการตัดสินใจไปก่อน และยังไม่พร้อมที่จะเดินเข้ามาดูโครงการ จะเห็นได้จากยอด Walk-in ที่ชะลอตัวลงมากใกล้กับช่วงโควิด ระลอกแรก และโครงการใหม่ก็ยังไม่มีเปิด ทำให้ไม่มีปัจจัยมากระตุ้นยอดขาย ส่วนยอดโอนก็ชะลอไปในไตรมาส 3/2564 เพราะการโอนหายไป 1 เดือนจากมาตรการปิดแคมป์คนงาน ทำให้ส่งมอบสินค้าให้ส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าไม่ได้ต่อเนื่อง”นายไตรเตชะ กล่าว

อย่างไรก็ตามบริษัทฯมองว่าหากภาพรวมของสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศคลี่คลายได้ก่อนเข้าสู่ช่วงไตรมาส 4/2564 มั่นใจว่าจะเห็นการฟื้นตัวกลับมาของยอดขายและยอดโอนที่ดีขึ้นจากไตรมาส 3/2564 เพราะการขาย การเปิดโครงการจะเริ่มกลับมาได้ รวมถึงลูกค้าก็เริ่มออกมาเข้าชมโครงการมากขึ้น ทำให้โอกาสในการขายเพิ่มสูงขึ้น และการส่งมอบโครงการของลูกค้าทำได้รวดเร็วมากขึ้น และปกติในช่วงไตรมาส 4 ของทุกปีจะมีการโอนโครงการเข้ามามาก ทำให้มองว่ายังเป็นโอกาสที่จะเห็นผลงานกลับมาฟื้นตัวขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งบริษัทยังคงเป้าหมายยอดขายในปีนี้ไว้ที่ 27,000 ล้านบาท  จากครึ่งปีแรกทำได้ 13,000 ล้านบาท และยอดโอนมีเป้าหมายที่ 28,000 ล้านบาท จากครึ่งปีแรกทำได้ 11,000 ล้านบาท

โดยช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้บริษัทจะมีทยอยรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) เข้ามากว่า 14,200 ล้านบาท จาก Backlog ทั้งหมดที่มีอยู่ 36,000 ล้านบาท และยังเดินหน้ามองหาซื้อที่ดินเข้ามาเพิ่มเติม เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในอนาคต โดยที่งบซื้อที่ดินในปีนี้ที่ตั้งไว้ 8,000 ล้านบาท ปัจจุบันใช้ไปเกือบ 3,000 ล้านบาท ทำให้บริษัทยังหาจังหวะในการซื้อที่ดินได้เพิ่มเติมในช่วงครึ่งปีหลัง แต่ราคาที่ดินก็ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด

ด้านส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนพัฒนาที่อยู่อาศัยในประเทศออสเตรเลียในช่วงครึ่งปีหลังนี้คาดว่าส่วนแบ่งกำไรที่เข้ามาจะลดลงจากครึ่งปีแรก ที่รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนเข้ามากว่า 100 ล้านบาท เนื่องจากภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในออสเตรเลียในช่วงครึ่งปีหลังนี้คาดว่าจะชะลอตัวลงจากครึ่งปีแรก เพราะมาตรการกระตุ้นอสังหาฯของรัฐบาลออสเตรเลียได้สิ้นสุดลง ทำให้ไม่มีปัจจัยที่เข้ามาช่วยกระตุ้นการซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศออสเตรเลียเข้ามาเหมือนครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ที่ทำผลงานได้โดดเด่น และการแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศออสเตรเลียที่ยังมีการติดเชื้อจำนวนมาก มีการล็อกดาวน์ในบางเมือง ทำให้การซื้อของคนในออสเตรเลียชะลอลงไป ส่งผลให้แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในออสเตรเลียจะชะลอตัวลงในช่วงครึ่งปีหลังนี้

สำหรับความคืบหน้าการขายอาคารศุภาลัย ทาวเวอร์ พระราม 3 เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ศุภาลัย หลังจากที่ได้ยื่นไฟลิ่งให้กับตลาดหลักทรัพย์ฯไปเมื่อปลายปี 2563 ที่ผ่านมา ปัจจุบันยังไม่มีความคืบหน้าของกองทรัสต์ดังกล่าวออกมา เนื่องจากภาวะในปัจจุบันอสังหาริมทรัพย์ยังได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้บริษัทและทีมที่ปรึกษายังไม่เร่งการผลักดันการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์ออกมา ซึ่งยังคงต้องพิจารณาถึงภาวะของตลาดอีกครั้ง ซึ่งปัจจุบันตลาดยังมีความไม่แน่นอนจากผลกระทบโควิด-19 ที่ยังไม่จบลง

อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทมีการเปิดตัวโครงการใหม่ไปแล้ว ทั้งหมด 9 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการแนวราบในพื้นที่กรุงเทพฯ และภูมิภาค มูลค่ารวม 9,180 ล้านบาท อีกทั้งบริษัทฯ สามารถทำยอดขายอยู่ที่ 13,005 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 โดยมาจากการตอบรับที่ดีของลูกค้าในทุกทำเลโครงการที่มีสินค้าสร้างเสร็จ พร้อมอยู่ รวมถึงโครงการที่เปิดตัวใหม่ ซึ่งแบ่งเป็นสัดส่วนยอดขายในส่วนโครงการแนวราบ  10,080 ล้านบาท คิดเป็น 78%  โครงการคอนโดมิเนียม 2,925 ล้านบาท คิดเป็น 22% และคิดเป็น 48% จากเป้าหมายยอดขายที่ตั้งไว้ 27,000 ล้านบาท  อีกทั้งสามารถสร้างรายได้รวม 11,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60% โดยรายได้หลักมาจากการทยอยส่งมอบคอนโดมิเนียมทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ขณะที่รายได้จากอสังหาริมทรัพย์สามารถแบ่งเป็นรายได้จากโครงการแนวราบ 57% และจากโครงการคอนโดมิเนียม 43% ถึงแม้ว่าตลาดกลุ่มคอนโดมิเนียมจะยังคงชะลอตัวก็ตาม

บริษัทฯ สามารถทำผลงานด้านกำไรสุทธิ 2,472 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 111 % จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2563 โดยมีอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 58% ส่วนต้นทุนการเงินที่อัตราเฉลี่ย 1.80 % ต่อปี ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 และมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 36,002 ล้านบาท ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 โดยคาดว่าจะสามารถทยอยโอนให้ลูกค้าและรับรู้เป็นรายได้ในปี 2564 จำนวน 14,202 ล้านบาท และส่วนที่เหลือ 21,800 ล้านบาทในอีก 3 ปีถัดไป เพื่อรองรับการเติบโตด้านรายได้ของบริษัทในอนาคต พร้อมกันนี้บริษัทฯ ยังเดินหน้าลงทุนในทำเลใหม่ๆ ที่จะขยายตลาดให้กว้างขึ้น เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าให้ครอบคลุมทุกพื้นที่

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลประกอบการงวดครึ่งปีแรกให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 24 ส.ค.2564 และจ่ายปันผล วันที่ 8 กันยายน 2564

พร้อมทั้งเดินหน้าสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ เพื่อให้ทันสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยมีการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ และเพิ่มช่องทางการตลาดในรูปแบบ Virtual Tour รับชมโครงการเสมือนจริง และ Online Booking จองยูนิตที่สนใจ เพิ่มความสะดวก สบาย ปลอดภัย  และรูปแบบ Supalai Private Tours  เป็นการสื่อสารและชมโครงการได้ทุกที่ทุกเวลา เพื่อลดการสัมผัสให้เหมาะสมกับเหตุการณ์โควิด -19

รวมถึงกระบวนการก่อสร้าง  โดยเน้น Waste  Management  เพื่อมีส่วนร่วมในการลดขยะให้สังคม และมีการปรับเปลี่ยนระบบด้านการบริการลูกค้าในรูปแบบออนไลน์  ทั้งใบเสร็จออนไลน์  และนิตยสารขององค์กรในรูปแบบ  E-Magazine เพื่อเชิญชวนครอบครัวศุภาลัย รักษ์โลก ลดการใช้กระดาษ ลดการสัมผัส สอดรับกับโครงการ Supalai Care The Bear ผนึกพลังร่วมกันลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม

อีกทั้งการสื่อสารการตลาดรูปแบบใหม่ร่วมกับพันธมิตรธุรกิจ ทั้งทรู เฮลท์ จากบริษัท ทรู ดิจิทัล เพื่อพบหมอออนไลน์ บริษัท ซีเนริโอ จำกัด เพื่อผลิตซีรีส์  อีกทั้งบ้านและสวน เพื่อแชร์ไอเดียใหม่ๆ สำหรับลูกค้าที่จะนำไปตกแต่งสวนสวยงามให้ที่อยู่อาศัย

“บริษัทฯ มั่นใจว่าปี 2564 จะเป็นปีที่บริษัทฯ มีการเติบโตทางด้านรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่องด้วยความพร้อมทางต้นทุนทางการเงิน การบริหารความเสี่ยง การตลาดและการขาย การบริการลูกค้า และการมีส่วนร่วมช่วยเหลือเพื่อสังคม ทั้งนี้ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยภายนอก โดยมองว่า ภาพรวมการเติบโตของบริษัทฯจะมีทิศทางปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังสถานการณ์โควิด -19 คลี่คลายต่อไป” นายไตรเตชะ กล่าวในที่สุด

 

 

toppercool

CEO,Prop2morrow Blogger อสังหาฯ , นักการตลาดดิจิตัล สาย Content marketing