พฤกษาฯคาดโควิด-19 ยังพ่นพิษยาว ตลาดอสังหาฯไตรมาส3/64 ยอดขาย-โอนกรรมสิทธิ์ยังชะลอตัว จากมาตรการปิดแคมป์ และล็อกดาวน์ ประกาศแผนครึ่งปีหลัง’64 เปิดอีก 15 โครงการ มูลค่ารวม 17,834 ล้านบาท ด้านคอนโดฯร่วมทุนบิ๊กอสังหาฯญี่ปุ่นประกาศชะลอตัวออกไป หันผนึกพันธมิตรไทยเจ้าของที่ดินพัฒนาโรงการรูปแบบ Turnkey ลดความเสี่ยง-ลดต้นทุน ชิมลางทำเลรามอินทรา ผุดทาวน์เฮาส์แบรนด์ “The Connect”มูลค่า 500 ล้านบาท พร้อมรุกการตลาดดิจิทัลเต็มสตีม ดักจับลูกค้าออนไลน์ครอบคลุมทุกช่องทาง มั่นใจยอดขาย-รายได้รวมตามเป้า 3,200 ล้านบาท ด้านรพ.วิมุต คาดทั้งปีรายได้มาตามนัด ผุดบริการ “Safe Save Surgery” ผ่าตัดเร่งด่วนพักฟื้นวันเดียว รับมือคนไข้ผ่าตัดที่รอไม่ได้ช่วงโควิด-19 พร้อมยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยเข้าใช้บริการ
นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS ในเครือ บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด(มหาชน) หรือ PSH เปิดเผยว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศ ที่ปัจจุบันยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อในระดับสูง ส่งผลกระทบต่อภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง 2564 โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 3 ที่คาดว่าภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์จะชะลอตัวลงค่อนข้างมาก จากการที่เป็นช่วงที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก และมีมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ทั้งมาตรการปิดแคมป์คนงาน และมาตรการล็อกดาวน์อื่นๆ ทำให้กิจกรรมต่างๆในประเทศชะลอตัวลงไป และส่งผลให้การขาย-การโอนในช่วงไตรมาส 3/64 ชะลอตัวลงตามทิศทางของตลาด
สำหรับการพัฒนาโครงการในปี 2564 นี้ยังคงเป็นไปตามแผนเดิม คือ 29 โครงการ รวมมูลค่า 26,630 ล้านบาท โดยในครึ่งปีแรก เปิดตัวไปแล้ว 14 โครงการ รวมมูลค่า 8,792 ล้านบาท และในครึ่งปีหลังจะเปิดอีก 15 โครงการ มูลค่ารวม 17,834 ล้านบาท ตามแผน แบ่งเป็น ทาวน์เฮาส์ 8 โครงการ ราคา 1.5-3 ล้านบาท ,บ้านเดี่ยว จำนวน 4 โครงการ ระดับราคาประมาณ 5-20 ล้านบาท และคอนโดฯ 3 โครงการ ปัจจุบันเปิดตัวไปแล้ว 1 โครงการ ส่วนอีก 2 โครงการจะพัฒนาในทำเลพระราม2 และดอนเมือง ซึ่งล้วนเป็นเซกเมนต์ที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดจากโควิด-19 และลูกค้าให้การตอบรับในการซื้อที่ดีมาต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นโครงการที่บริษัทขายและสามารถรับรู้รายได้เข้ามาได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนแผนการร่วมทุนพัฒนาคอนโดฯกับบิ๊กอสังหาฯจากญี่ปุ่น ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจสุขภาพนั้น คงต้องชะลอแผนการลงทุนออกไปก่อน เพื่อรอให้สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย แต่ได้ปรับแผนไปเน้นการร่วมทุนกับเจ้าของที่ดิน( Landlord) ในรูปแบบของ Turnkey ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยง และลดต้นทุนที่ดินด้วย ขณะนี้มีการเจรจากับเจ้าของที่ดินอยู่หลายราย แต่จะเริ่มทดลองโครงการแรกก่อนกับพันธมิตรที่ดำเนินธุรกิจรับซื้อสินทรัพย์และขายสินทรัพย์ต่อ ด้วยการนำที่ดินย่านรามอินทราม ใกล้ศูนย์การค้าแฟชั่นไอส์แลนด์ บนพื้นที่ 30 ไร่ มาพัฒนาในรูปแบบของทาวน์เฮาส์ แบรนด์ “The Connect” ระดับราคาประมาณ 2-3 ล้านบาท จำนวนประมาณ 300-400 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดพรีเซลประมาณไตรมาส 4/2564 นี้ หากประสบความสำเร็จ ก็จะดำเนินธุรกิจการร่วมทุนแบบ Turnkey อย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันในครึ่งปีหลัง 2564 บริษัทยังคงเดินหน้าทยอยขายสต๊อกโครงการพร้อมโอนที่เหลืออยู่มูลค่าประมาณ 8.000 ล้านบาทอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะพยายามขายสต๊อกให้เกือบหมดให้ได้ภายในสิ้นปีนี้ หลังจากที่บริษัทเดินหน้าระบายสต๊อกมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ทำให้สต๊อกลดลงไปค่อนข้างมากช่วงต้นปีที่มีสต๊อกมูลค่าเกือบ 20,000 ล้านบาท แต่การที่บริษัทเร่งการระบายสต๊อกออกไปมีผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทในปี 2564 ปรับลดลงมาเล็กน้อยที่ 27-28% จากปกติที่มากกว่า 30% เนื่องจากการระบายสต๊อกต้องมีการทำโปรโมชั่นราคาพิเศษให้กับลูกค้า เพื่อกระตุ้นการซื้อ ส่งผลให้กำไรขั้นต้นลดลงมาบ้าง แต่การระบายสต๊อกที่ลดลงไปมากช่วยให้ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ (SG&A) ปรับลดลงไปมากเหลือ 14-15% จากเดิมที่ 18-19% ทำให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับบริษัทลงในระยะยาว
ทั้งนี้บริษัทคาดว่าแนวโน้มของผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงไตรมาส 4/2564 จะเห็นการฟื้นตัวที่โดดเด่นมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านยอดโอนที่คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ดีมากขึ้น เพราะบริษัทฯจะมีการโอนโครงการคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จใหม่เข้ามามากถึง 7 โครงการ ซึ่งมียอดขายแล้ว 6,000 ล้านบาท และคาดว่าจะรับรู้รายได้เข้ามาในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/2564 ที่ผ่านมา แม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจะมีการชะลอตัวจากวิกฤติโควิด-19 แต่ด้วยที่อยู่อาศัยยังคงเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ที่เป็นพื้นฐานสำคัญและตลาดยังคงมีดีมานด์อยู่อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับที่ผ่านมาพฤกษาฯมีการปรับตัวเน้นการใช้ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งเพิ่มมากขึ้น พร้อมกับจัดแคมเปญส่งเสริมตลาดให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้ายุคใหม่ที่เปลี่ยนไป ทำให้ยังคงรักษาการเติบโตได้ดี โดยในไตรมาส 2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนบริษัทฯ ทำยอดขาย 7,225 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 106% ทำรายได้ 6,334 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% และมีกำไรสุทธิ 427 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% และสามารถลดสินค้าคงค้าง (Inventory) ลงไปได้ถึง 58% พร้อมทั้งเปิดตัวโครงการใหม่ถึง 9 โครงการ ทำให้ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2564 มียอดขายรวม 14,165 ล้านบาท เติบโต 48% มีรายได้ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ที่ 13,222 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิครึ่งปีแรกที่ 1,034 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามบริษัทฯคาดว่าแนวโน้มของผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงไตรมาส 4/2564 จะเห็นการฟื้นตัวที่โดดเด่นมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านยอดโอนที่คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ดีมากขึ้น เพราะบริษัทฯจะมีการโอนโครงการคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จใหม่เข้ามามากถึง 7 โครงการ ซึ่งมียอดขายแล้ว 6,000 ล้านบาท และคาดว่าจะรับรู้รายได้เข้ามาในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่เข้ามาผลักดันการฟื้นตัวขึ้นอย่างโดดเด่นให้กับยอดโอนในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้
ทั้งนี้หลังจากมีการปลดล็อกดาวน์แคมป์คนงานก่อสร้าง บริษัทฯ ได้กลับมาเร่งงานก่อสร้างต่อภายใต้มาตรการ Bubble and Seal ซึ่งในครึ่งปีหลังมีคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างจำนวน 7 โครงการและจะทยอยส่งมอบในปีนี้ ทำให้บริษัทฯ มั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้ายอดขายและรายได้ที่วางไว้ 32,000 ล้นบาท นอกจากนี้ยังเน้นเพิ่มช่องทางการเข้าถึงลูกค้าผ่านทางออนไลน์ให้ครอบคลุมทุกช่องทาง ควบคู่กับการออกแคมเปญให้ตรงกับความต้องการลูกค้า โดยในไตรมาส 3 ได้ร่วมกับ “เอไอเอส” ออกแคมเปญ “โปรแรงขั้นสุด ชีวิตสนุกกว่า” ที่ให้ลูกค้าอยู่ฟรีสูงสุด 36 เดือน ฟรีค่าส่วนกลางสูดสุด 36 เดือน ฟรีค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ และส่วนลดต่าง ๆ แล้ว ลูกค้ายังจะได้รับแพ็กเกจสัญญาณอินเทอร์เน็ตบ้านเอไอเอส ไฟเบอร์ พร้อมด้วยบริการ AIS PLAY ฟรีอีก 1 ปี ซึ่งเป็นความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยส่งมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตในบ้านที่ก้าวล้ำไปอีกขั้น
“จากสถานการณ์โควิด-19 ที่กดดันภาคอสังหาฯและธุรกิจในปีนี้ พฤกษายังเดินตามแผนและเป้าหมายของบริษัท เรายังคงเป้ายอดขายและรายได้ที่ 3,200 ล้านบาท และเปิดโครงการตามแผนที่ตั้งไว้ ยังไม่มีการเลื่อนเปิด ซึ่งเราก็เตรียมแผนการรับมือมาค่อนข้างดี ทำให้มองว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจอสังหาฯของพฤกษาจะไม่กระทบมาก และก็ยังมี Backlog อีกกว่า 22,877 ล้านบาท ที่เข้ามารองรับรายได้ให้กับบริษัท”นายปิยะ กล่าวในที่สุด
ด้านนายแพทย์กฤตวิทย์ เลิศอุตสาหกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลวิมุต โฮลดิ้ง จำกัด กล่าวถึงความคืบหน้าธุรกิจโรงพยาบาลวิมุต ว่า ขณะนี้ได้เปิดศูนย์บริการต่าง ๆ อาทิ เช่น ศูนย์เบาหวานและต่อมไร้ท่อ ศูนย์หัวใจและหลอดเลือด ศูนย์กระดูกและข้อ ศูนย์สมองและประสาท ศูนย์สุขภาพ ศูนย์ผิวหนังและความงาม โดยในช่วงโควิด-19 โรงพยาบาลวิมุต ได้เปิดตัวบริการ “Safe Save Surgery” ซึ่งเป็นการผ่าตัดที่ใช้ระยะเวลานอนพักฟื้นระยะสั้น โดยทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ พร้อมด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ล่าสุด และควบคุมค่าใช้จ่ายให้เหมาะสม โดยสามารถผ่าตัดได้หลากหลาย อาทิ นิ่วในถุงน้ำดี เนื้องอกมดลูก ผ่าตัดถุงน้ำรังไข่ ไส้เลื่อน ริดสีดวงทวาร ต่อมลูกหมากโต ต้อกระจก เป็นต้น ซึ่งจะประหยัดค่าใช้จ่ายเนื่องจากพักฟื้นเพียงวันเดียว หรือเท่าที่จำเป็น โดยสามารถปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวทางรักษาและฟักฟื้น และตกลงค่าใช้จ่ายในราคาพิเศษ เพื่อช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายให้กับคนไข้ นอกจากนี้ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ถึงปัจจุบัน รพ.วิมุตได้ร่วมมือกับภาครัฐ เช่น กรมควบคุมโรค กระทรวงต่างประเทศ ฯลฯ จัดฉีดวัคซีนตามนโยบายรัฐบาล อย่างต่อเนื่อง เป็นจำนวนมากกว่า 50,000 เข็ม แล้ว ในด้านความคืบหน้าของการเปิดจองวัคซีนโมเดอร์น่า ขณะนี้ทางโรงพยาบาลปิดรับจองและดำเนินการสั่งซื้อวัคซีนจากองค์การเภสัชกรรมเรียบร้อยแล้วครบตามจำนวนโดสสำหรับผู้ที่จองและชำระเงินตามกำหนดเวลา ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดสรรลำดับการฉีดวัคซีน จะทยอยเข้ารับวัคซีนตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 เป็นต้นไป (ตามกำหนดการส่งมอบวัคซีนจากบริษัทฯ)
ในปีนี้โรงพยาบาล ซึ่งเปิดตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2564 จะสามารถทำรายได้ทะลุเป้าเดิม 375 ล้านบาท ไปเป็น 500 ล้านบาท ตั้งเป้าเติบโตในปีถัดไป ประมาณ 15-20% ส่วนการลงทุน ViMUT Health Center ที่โครงการ Pruksa Avenue ในย่านบางนา-วงแหวน อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ใช้งบลงทุนรวม 150 ล้านบาท ขนาด 50 เตียง ซึ่งจะเป็นศูนย์สุขภาพ ที่ครอบคลุมบริการที่หลากหลาย อาทิ คลินิก ศูนย์กายภาพ ศูนย์ดูแลและบริบาลผู้สูงอายุ รวมทั้งการให้บริการดูแลสุขภาพถึงบ้าน (Home Health Care) คาดว่าจะเปิดให้บริการในปลายปี 2565
นอกจากนี้โรงพยาบาลวิมุตยังมีมาตรฐานเพิ่มความอุ่นใจเมื่อมาใช้บริการ ได้แก่ ระบบคัดกรองก่อนเข้าอาคารหากพบว่ามีความเสี่ยงกับเรื่องโควิด-19 จะพาเข้าตรวจรักษาที่ห้องความดันลบบริเวณ ER และด้านนอกมีระบบกรองอากาศโดย HEPA Filter และฆ่าเชื้อด้วย UVC เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อไม่ให้เข้าสู่อาคาร, ที่นั่งพักรอของแผนกและศูนย์ต่างๆ ซึ่งมีพื้นที่โล่งกว้าง ลดความแออัด, ระบบปรับอากาศภายในอาคารป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค ซึ่งจะปรับระดับความดันภายในอาคาร ความชื้นและอุณหภูมิให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม, เติมอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่อาคาร 100% ด้วยการกรองอากาศทุก 2 ครั้งต่อชั่วโมง เพิ่มการหมุนเวียนของอากาศ ลดการสะสมของเชื้อโรค, ยกระดับความสะอาดภายในห้องตรวจต่างๆ การไหลเวียนของอากาศให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล พร้อมทีมแพทย์สหสาขาและเครื่องมือที่ทันสมัย ยืนหยัดให้บริการดูแลสุขภาพในทุกสถานการณ์