พีซแอนด์ลีฟวิ่งฯเผยหลังรัฐประกาศเปิดประเทศ–คลายล็อก LTV ช่วยดันเศรษฐกิจ–ตลาดอสังหาฯฟื้นตัว พร้อมประกาศเปิดแบรนด์ใหม่รุกตลาดแนวราบพื้นที่กทม.–ปริมณฑล และEEC รองรับผู้บริโภคยุคใหม่ต่อเนื่อง ทั้งประกาศเตรียมแต่งตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปีหน้า หวังนำเงินไปซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ–ขยายธุรกิจ อนาคตสนใจผุดคอนโดฯในเมือง แต่รอจังหวะและโอกาส
นายประสพศักดิ์ ศิริโสภณา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีซแอนด์ลีฟวิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ PEACE เปิดเผยว่าหลังจากที่รัฐบาลประกาศเปิดประเทศ สังเกตได้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวอย่างชัดเจน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยิ่งธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)มีมาตรการผ่อนปรน มาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ( Loan to Value : LTV) ทำให้ส่งผลดีต่อตลาดอสังหาฯเริ่มฟื้นตัว ผู้บริโภคมีการตัดสินใจในการซื้อที่อยู่อาศัยได้ง่ายและเร็วขึ้น รวมทั้งมีพฤติกรรมการอยู่อาศัยที่เปลี่ยนไป มีความต้องการพื้นที่ใช้สอยในการใช้งานในบ้านมากขึ้น ซึ่งจากคาดการณ์ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่าในปี 2565 จะมีที่อยู่อาศัยเปิดใหม่มากถึง 99% แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 55% และแนวสูง 45%
“ปัจจัยบวกจากนโยบายการเปิดประเทศของรัฐบาลทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจขยายตัว เอกชนเดินเครื่องธุรกิจเกิดการจ้างงาน ส่งผลให้รายได้ครัวเรือนดีขึ้น มีความมั่นคงในอาชีพ และการผ่อนคลายมาตรการ LTV เป็นการปลดล็อกตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้กลับมาคึกคักขึ้น เนื่องจากลูกค้าที่ซื้อบ้านหลังที่ 2-3 สามารถกู้ซื้อบ้านได้เต็มมูลค่า 100% ส่งผลให้ประชาชนที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย สามารถกู้ซื้อที่อยู่อาศัยได้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบถือเป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง หรือ Real Demand และเป็นการซื้อบ้านหลังแรกเป็นส่วนใหญ่ จึงได้รับผลกระทบน้อยกว่าคอนโดมิเนียม” นายประสพศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ที่ผ่านมา ธุรกิจอสังหาฯจะอิงกับผลิตภัณฑ์มวลรวม(GDP)ของประเทศ โดยในปี 2565 น่าจะอยู่ที่ระดับ 3-4% และภาพรวมอสังหาฯจะดีกว่าปี 2564 แน่นอน ซึ่งจากวิกฤติ-19 โครงการแนวราบจะมีส่วนแบ่งตลาดที่สูงกว่าคอนโดฯ ต่างจากในอดีตที่คอนโดฯ จะมีส่วนแบ่งตลาดมากกว่าแนวราบ ขณะเดียวกันการขยายตัวของแนวรถไฟฟ้าที่ออกไปนอกเมืองมากขึ้น ทำให้การเดินทางสะดวกสบาย ผู้บริโภคหันไปสนใจซื้อโครงการแนวราบได้มากขึ้น
นายประสพศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ก่อให้เกิดแนวทางดำเนินชีวิตในรูปแบบใหม่ (New normal) รวมถึงแนวทางการทำงานที่บ้าน หรือ Work from Home ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างชัดเจน ส่งผลให้ความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน มักมองหาบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม ที่มาพร้อมกับฟังก์ชันในด้านต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยจริง ทั้งในเรื่องหลักอย่าง ทำเลที่ตั้ง พื้นที่ใช้สอย ดีไซน์ และราคาที่เหมาะสม ส่งผลให้ลูกค้าซื้อที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบ เช่น บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม เป็นต้น ซึ่งมีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าที่อยู่อาศัยประเภทแนวสูงและมีพื้นที่แยกเป็นสัดส่วนมากกว่า
ในส่วนของบริษัทฯเองมีประสบการณ์ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบ มาแล้ว 27 ปี จากจุดเริ่มต้นในปี 2532 ที่พัฒนาโครงการประเภทรีสอร์ท ที่จังหวัดกาญจนบุรี ภายใต้แบรนด์ “บ้านป่าริมธาร” และประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง สามารถปิดการขายได้ในปี 2542 หลังจากนั้นได้หันไปรุกพัฒนาโครงการที่ จ.ระยอง จำนวน 2 โครงการ ภายใต้แบรนด์ “บ้านลมทะเล 1-2” ในรูปแบบของบ้านเดี่ยว จำนวน 300 กว่ายูนิต และสามารถปิดการขายได้ในปี 2545 หลังจากนั้นได้รุกเข้ามาพัฒนาโครงการในพื้นที่กทม.ปีละ 1-2 โครงการ และประสบความสำเร็จ ปิดการขายได้หมดทุกโครงการ
อย่างไรก็ตามตั้งแต่เริ่มต้นพัฒนาโครงการถึงปี 2561 บริษัทฯมีผลประกอบการที่ดีมาโดยตลอด และคณะกรรมการมีความคิดเห็นว่า ควรเร่งขยายการเติบโต เพื่อสร้างความยั่งยืนในธุรกิจ จึงเพิ่มทุนจาก 56 ล้านบาท เป็น 420 ล้านบาทในปัจจุบัน เพื่อรุกขยายโครงการใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง ทำให้นับจากอดีตถึงปัจจุบันมีการพัฒนาโครงการมาแล้วรวมทั้งสิ้น 25 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมกว่า 16,569 ล้านบาท และสร้างที่อยู่อาศัยขึ้นมาอีก 3 แบรนด์ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ ได้แก่ Cordiz ระดับราคา 6-10 ล้านบาท ,The Glamor ระดับราคา 30 ล้านบาท และ Cher เป็นทาวน์โฮม ระดับราคา 2-4 ล้านบาท เพื่อรองรับดีมานด์ที่หลากหลายในพื้นที่กทม.-ปริมณฑล
ล่าสุดได้เพิ่มอีก 2 แบรนด์ใหม่ คือ “Cherene” และ “CHEREA VICINITY” โดยแต่ละโครงการได้ออกแบบสไตล์โมเดิร์น เน้นบรรยากาศร่มรื่น สงบ มีความเป็นส่วนตัว การเดินทางสะดวกสบาย ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก บนทำเลที่ดีตอบโจทย์การใช้ชีวิต ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคยุคใหม่อย่างแท้จริง ภายใต้วิสัยทัศน์ขององค์กร คือ การประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์สินค้า ให้สามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง และยั่งยืนภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ดี โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ทั้งลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน คู่ค้า เพื่อให้ทุก ๆ ส่วนได้รับประโยชน์ที่ดีอย่างที่ควร
“จากประสบการณ์การพัฒนาโครงการมา 27 ปี จึงมีทีมงานที่แข็งแกร่ง สามารถทราบความต้องการของลูกค้าในแต่ละกาลเวลาได้เป็นอย่างดี สามารถปรับและยืดหยุ่นเพื่อตอบสนองผู้บริโภคให้รู้สึกคุ้มค่าในการซื้อโครงการ ทุกกลยุทธ์ต้องสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และเน้นงานวิจัยในการหาที่ดิน รวมไปถึงการขยายเซกเมนต์ให้ครอบคลุมมากที่สุด” นายประสพศักดิ์ กล่าว
นายประสพศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2565-2566 บริษัทฯมีแผนจะเปิดตัว 3 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการรวม 3,045 ล้านบาท คือ Cherene กรุงเทพกรีฑา–ร่มเกล้า ตั้งอยู่บนพื้นที่ 20 ไร่ เป็นบ้านเดี่ยว จำนวน 83 ยูนิต ราคา 7-10 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 648 ล้านบาท , Cherene Vicinity ราชพฤกษ์–เจษฎาบดินทร์ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 40 ไร่ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม รวมจำนวนประมาณ 300 ยูนิต ราคาเริ่มต้นที่ 3-10 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,845 บาท และ Cher ราชพฤกษ์–พระราม5 ตั้งอยู่บนที่ดิน 12 ไร่เศษ เป็นทาวน์โฮม 2-3 ชั้น จำนวน 130 กว่ายูนิต ราคาเกือบ 3.5-4.5 ล้านบาท มูลค่า 552 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทฯมีแผนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในต้นปี 2565 โดยหลังจากการระดมทุนแล้วจะนำเงินไปซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาและขยายธุรกิจ ในกทม.-ปริมณฑล 100% ก่อน ซึ่งวางแผนเปิดตัวใหม่ปีละ 2-3 โครงการ และอนาคตมีแผนจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สำหรับในพื้นที่ต่างจังหวัดยังมีความพร้อมที่จะขยายไปในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ทั้ง ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง แต่ต้องรอจังหวะและโอกาส ทั้งเรื่องการขยายตัวของโรงงานต่างๆ และเมกะโปรเจกต์ของภาครัฐ ให้มีความชัดเจนในการจ้างงานใหม่ๆเกิดขึ้น หลังจากนั้นจึงค่อยเข้าไปพัฒนา
อย่างไรก็ตามอนาคตสนใจพัฒนาโครงการประเภทคอนโดฯเช่นกัน ขณะนี้อยู่ในระหว่างการมองหาที่ดินในทำเลที่มีศักยภาพ และมีราคาที่เหมาะสมในการพัฒนา แต่ในช่วง 2 ปีแรกยังให้ความสำคัญในการพัฒนาโครงการแนวราบก่อน
“ที่ผ่านมาการบริหารงานของบริษัทมีความแข็งแกร่งมาโดยตลอด เพราะเป็นการทำงานระหว่าง 2 Gen ร่วมกัน คือ Baby Boomer ซึ่งมีประสบการณ์มาช้านาน และ Gen Y เป็นคนรุ่นใหม่ ที่มีความรู้ ความสามารถมาก สามารถรับทราบความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้บริโภครุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี ซึ่งทั้ง 2 Gen จะรับฟังซึ่งกันและกัน สามารถนำพาบริษัทเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง” นายประสพศักดิ์ กล่าว
โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทฯมียอดรายได้ประมาณ 800 กว่าล้านบาท มีกำไรประมาณ 130 ล้านบาท หลังจากเข้าตลาดฯจะมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี
ด้านนายโดม ศิริโสภณา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานการตลาดและการขาย (CMO) บริษัท พีซแอนด์ลีฟวิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ PEACE กล่าวว่า ดีมานด์และซัพพลาย จะมีความสมดุลกันมากขึ้น ซึ่งจะเข้ากับเทรนด์การเติบโตของบริษัทฯได้เป็นอย่างดี และสิ่งที่ต้องปรับตัว คือเทรนด์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในยุค เมตาเวิร์ด เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว จึงมีการปรับโครงการ และแบบบ้าน ให้ครอบคลุม มีความหลากหลายเซกเมนต์มากขึ้น โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา(2562-2564) ได้เปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัย 3 แบรนด์ใหม่ ทั้งหมด 7 โครงการ รวมมูลค่า 4,700 ล้านบาท เป็น แบรนด์ Cher 4 โครงการ ที่เหลือเป็นแบรนด์ Cordiz และ The Glamor และอนาคตจะเปิดตัวอีก 3 โครงการ ภายใต้แบรนด์ “Cherene” และ “CHEREA VICINITY” เพื่อเป็นฐานที่แข็งแกร่ง สร้างความเติบโตในอนาคตให้กับบริษัทต่อไป
โดยโครงการของ PEACE ได้พัฒนาและออกแบบบ้านที่ทันสมัยด้วยระบบสมาร์ทโฮม (Smart Home) ที่สามารถควบคุมอุปกรณ์ และระบบภายในบ้าน ผ่านแอปพลิเคชัน พัฒนาระบบบริหารนิติบุคคลบ้านจัดสรรแบบ Smart Community ช่วยให้ลูกบ้านสามารถจัดการการซ่อมแซมบ้านหรือแจ้งปัญหาต่างๆ ได้ผ่านแอปพลิเคชัน รวมถึงศึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยนำเทคโนโลยีการก่อสร้างแบบใหม่มาใช้เพื่อบริหารจัดการงานก่อสร้างและบริหารต้นทุนได้มีประสิทธิภาพเโดยเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
“บริษัทฯมีเป้าหมายการปิดการขายโครงการ ภายใน 2-3 ปี (สำหรับโครงการที่มีจำนวนยูนิตไม่เกิน 200 ยูนิต) และภายใน 3-5 ปี (สำหรับโครงการที่มีจำนวนยูนิตมากกว่า 200 ยูนิต) โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 บริษัทฯ มีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและโอนกรรมสิทธิ์ 7 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,717 ล้านบาท มียอดขายรอโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) 600 ล้านบาท และมีแผนโครงการในอนาคต 3 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 3,045 ล้านบาท” นายโดม กล่าวในที่สุด