ริชี่เพลซฯ เชื่อรัฐควบคุมการแพร่ระบาดโอไมครอนได้ ช่วยดันเศรษฐกิจฟื้นตัว 3-5% ส่งผลความต้องการคอนโดฯเติบโตในระดับ 10-15% ส่วนต้นทุนการก่อสร้างปรับตัวสูงตามราคาเหล็กอีก 10-20% แน่นอน พร้อมประกาศแผนปี 65 เดินหน้าผุด 4 โครงการใหม่มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท ทั้งสนผุดโครงการแนวราบ–มิกซ์ยูส พื้นที่ EEC หากเปิดประเทศ เตรียมเซ็นสัญญากลุ่ม Ascoot เข้าบริหาร“The Rich นานา” นำห้องชุดบางส่วนปล่อยเช่าลูกค้าต่างชาติรายวัน หวังต่อยอดธุรกิจ Wellness ตั้งเป้ายอดขายทั้งปีแตะ 4,000 ล้านบาท รายได้พุ่ง 65%
ดร.อาภา อรรถบูรณ์วงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ริชี่เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) หรือ RICHY เปิดเผยถึงภาพรวมเศรษฐกิจและอสังหาฯในปี 2565 ว่า แม้ในประเทศไทย จะมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะล่าสุดสายพันธุ์โอไมครอน แต่เชื่อว่ารัฐบาลและบุคลากรทางการแพทย์มีความพร้อม และรับมือได้ดี อีกทั้งมีสถานที่พักฟื้น การรักษาตัว รองรับอยู่ในขั้นสูงเพื่อรองรับเวฟใหม่ที่จะเกิดขึ้น บวกกับการที่คนไทยก็มีวินัยในการป้องกันตนเองสูง และรับผิดชอบต่อสังคม คิดว่าคงไม่รุนแรงถึงขนาดปิดประเทศ เชื่อว่าเศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัวได้ ซึ่งทิศทางตลาดอสังหาฯปี 2565 หากควบคุมโอไมครอนได้ เศรษฐกิจก็เติบโตได้ 3-5% อย่างแน่นอน ความต้องการคอนโดฯก็จะกลับมาและเติบโตในระดับ 10-15%
ด้านต้นทุนการก่อสร้าง สำหรับโครงการใหม่ มีต้นทุนที่สูงขึ้น 10-20% แน่นอน เพราะเหล็กมีการปรับราคาขึ้นจากกิโลกรัมละ 13 บาท เป็น 26 บาท ซึ่งส่งผลต่อต้นทุนการก่อสร้าง และวัสดุการก่อสร้างแน่นอน บวกกับราคาน้ำมัน ซึ่งมีผลต่อการขนส่ง ก็ทำให้ทุกอย่างมีการปรับราคาสูงขึ้น ซึ่งคงเห็นภาพชัดขึ้นในปีนี้
“สงครามราคาเราได้เห็นตั้งแต่ปี 2563 และต่อเนื่องมาในปี 2564 แล้ว แต่เมื่อสต๊อกเก่าถูกระบายออกไป ก็จะมีต้นทุนใหม่เข้ามาทดแทน เพราะราคาขายปรับเพิ่มขึ้น 3-5% อย่างแน่นอน ซึ่งคงต้องยอมรับ และไปบริหารจัดการด้านอื่นแทน”ดร.อาภา กล่าว
สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯในปี 2565 มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 4 โครงการ มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการ “ริชตัน พัฒนาการ สวนหลวง” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 10 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของทาวน์โฮม 2 ชั้น สไตล์ยูโรเปี้ยน ขนาดตั้งแต่ 17-21 ตารางวา ราคาขายเริ่มต้นที่ 3.79 ล้านบาท จำนวน 131 ยูนิต มูลค่าโครงการ 560 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดพรีเซลในเดือนมีนาคม 2565 , โครงการ “ริชตัน ดอนเมือง เพิ่มสิน” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 10 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของทาวน์โฮม 2 ชั้น ขนาดตั้งแต่ 17-21 ตารางวา ราคาขายเริ่มต้นที่ 2.89 ล้านบาท จำนวน 163 ยูนิต มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท
และโครงการคอนโดมิเนียมใหม่อีก 2 โครงการ ย่านพระราม 9 มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท ใกล้เซ็นทรัลพระราม 9 ตรงข้ามอาคารยูนิลิเวอร์ฯ ซึ่งซื้อไว้เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นทำเลที่ฮอตมาก มีหลายบริษัทเข้าไปลงทุนพัฒนาโครงการเข้าไปเป็นจำนวนมาก แต่ในช่วงนั้นก็ปัญหาระหว่างจีน-สหรัฐ และต่อมาเกิดวิกฤติโควิด-19 และคิดว่าในปีนี้ถึงเวลาที่จะนำมาพัฒนาแล้ว ขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบ ส่วนอีกโครงการอยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูลอยู่ จึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ โดยหากพัฒนาจะมีมูลค่าประมาณ 2,500 ล้านบาทเช่นกัน
“ตามกรอบของแผนธุรกิจบริษัทจะพัฒนาโครงการ 4 โครงการ และใช้งบซื้อที่ดินปีละ 1,400 ล้านบาท” ดร.อาภา กล่าว
ดร.อาภา กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯยังสนใจที่จะพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส ทั้งรูปแบบรีเทล โรงแรม และคอนโดฯ ในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) อีกด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับศักยภาพที่ดินที่ได้มา หากเศรษฐกิจประเทศไทยเปิดก็พร้อมที่จะเข้าไปดำเนินการทันที ซึ่งให้ความสนใจพื้นที่ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ตามลำดับ โดยที่ดินที่ต้องการหากเป็นโครงการแนวราบ จะใช้พื้นที่ประมาณ 20-30 ไร่ และหากเป็นการพัฒนาอาคารสูง 8 ชั้น จะใช้ที่ดินประมาณ 3-10 ไร่ ขึ้นไป
นอกจากนี้ในอนาคตบริษัทฯยังมีแผนจะนำห้องชุดในโครงการ “The Rich นานา” จำนวนประมาณ 150 ยูนิต จากทั้งหมด 334 ยูนิต มาดำเนินการในรูปแบบของโรงแรมและต่อยอดธุรกิจด้าน Wellness ด้วย เนื่องจากที่ตั้งโครงการอยู่ใกล้โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ซึ่งมีผู้มารับบริการเป็นชาวต่างชาติเป็นจำนวนมาก โดยมีเชนโรงแรมมาบริหาร จาก Ascott เข้ามาบริหารงานในกลางปี 2565 นี้ คาดว่าจะทำการเซ็นสัญญาในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ นี้ ส่วนเจ้าของห้องชุดที่สนใจจะนำห้องชุดมาปล่อยเช่า ทางบริษัทฯก็การันตีผลตอบแทนให้กับเจ้าของห้องชุด 27% ภายในระยะเวลา 5 ปี โดยห้องชุดในโครงการดังกล่าวระดับราคาอยู่ที่ประมาณ 8.5-20 ล้านบาท คาดว่าจะนำมาปล่อยเช่าในราคาประมาณ 2,000 บาทเศษ/วัน เพราะมีใบอนุญาตโรงแรมตั้งแต่แรกแล้ว ด้านการก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อต้นปี 2565 นี้
“นอกจากนี้ผู้ถือหุ้นอันดับ2 ของบริษัทซึ่งคือกลุ่มโรงพยาบาลวิภาวดี มีเครือข่ายทั้งหมด 18 แห่งทั่วประเทศ ก็จะสามารถช่วยในเรื่องการตลาดหาลูกค้าเข้ามาพักได้อย่างแน่นอน” ดร.อาภา กล่าว
อย่างไรก็ตามบริษัทฯยังคงสามารถรักษาการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ประมาณ 65 % จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปัจจุบันมียอดขายรอโอนในมือกว่า(backlog) 2,400 ล้านบาท ขณะที่โครงการสร้างเสร็จพร้อมขายกว่า 6,200 ล้านบาท และหากรวมโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกจะทำให้มีโครงการในมือรวมมูลค่า 11,000 ล้านบาท โดยวางเป้ายอดขายปี 2565 ไว้ที่ประมาณ 4,000 ล้านบาท
ขณะที่ในปี 2565 จะเป็นปีที่ RICHY ครบรอบการดำเนินธุรกิจมาระยะเวลา 20 ปี เพื่อเป็นการตอบแทนลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจ จึงได้จัดโปรโมชั่นพิเศษ โดยให้ส่วนลดสูงสุดในอัตรา 20% สำหรับลูกค้า ทุกโครงการโดยให้ส่วนลดสูงสุดถึง 1,000,000 บาท ซึ่งคาดว่าจะได้รับความสนใจ และช่วยสนับสนุนการเพิ่มยอดขายให้กลับมาคึกคัก ผลักดันรายได้ให้เติบโตมากขึ้นอีกด้วย
นอกจากนี้ บริษัทฯได้ร่วมมือกับบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (Bitkub) เพื่อเปิดช่องทางการรับชำระเงินค่าสินค้าด้วยสกุลเงินดิจิทัล เพื่อนำมาต่อยอดจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต เนื่องจากสินทรัพย์ดิจิทัลกำลังได้รับความนิยม และเป็นที่ยอมรับของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทฯอยู่แล้ว ซึ่งได้เริ่มดำเนินการมาเมื่อเดือนธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา ในการรับชำระค่าจอง ทำสัญญา และเงินดาวน์ โดยจะรับ 4 สกุล ดังนี้ 1.Bitcoin 2.Ethereum 3.USDT 4.KUBCOIN ขณะนี้มีลูกค้าแล้ว 1 รายที่ขอชำระการซื้อขายด้วยสกุลเงินดิจิทัล