ASW ประกาศผุด 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 1.2 หมื่นล้าน พร้อมลุยธุรกิจสุขภาพ-ความงาม-ไล่ซื้อกิจการเสริมพอร์ท

  • Post author:
You are currently viewing ASW ประกาศผุด 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 1.2 หมื่นล้าน พร้อมลุยธุรกิจสุขภาพ-ความงาม-ไล่ซื้อกิจการเสริมพอร์ท
แอสเซทไวส์ฯประกาศแผนปี 65 ผุดคอนโดฯแนวราบ 7 โครงการ รวมมูลค่า 12,400 ล้านบาท ระบุเปิดกว้างพันธมิตรญี่ปุ่น เกาหลี ไทย เข้าร่วมทุน ทั้งสนใจเข้าซื้อกิจการคอนโดฯ-รุกNon Property โดยเฉพาะธุรกิจสุขภาพความงาม สร้างรายได้ระยะยาว ตั้งเป้ายอดขายปีนี้แตะ 10,000 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) ต่อเนื่องจากปี 64  และกวาดรายได้รวมที่ 6,000 ล้านบาท
นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW เปิดเผยว่า ปัญหาเรื่องค่าแรงในปัจจุบันยังถือว่าเป็นต้นทุนส่วนน้อยของการพัฒนาโครงการ แต่มีความกังวลในเรื่องของกำลังซื้อมากกว่า รวมไปถึงสงครามการค้า (Trade war) ระหว่างสหรัฐและจีน มากกว่า ที่จะเป็นปัจจัยลบในทางอ้อมมากกว่า  สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยในปี 2565 มองว่า มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 2565 นี้ ตามทิศทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว โดยมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเป็นแรงลมส่ง นอกจากนี้คาดว่าจะมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อภาคอสังหาฯ ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง และด้วยบรรยากาศแบบนี้ แอสเซทไวส์ฯมองว่าเป็นจังหวะที่ดีในการคว้าโอกาสขยายธุรกิจเชิงรุก ด้วยการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ และเชื่อมต่อความสุขสู่ทุกกลุ่มลูกค้าได้อย่างแท้จริง

สำหรับแผนการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯจะเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 7 โครงการ มูลค่ารวม 12,400 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียมฯ 5 โครงการ มูลค่ารวม 7,550 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 60% ได้แก่ 1.โครงการ แอทโมซ คาแนล รังสิต (Atmoz KanaalRangsit) ราคาเริ่มต้นที่ 1.39 ล้านบาท  มูลค่าโครงการ 1,650 ล้านบาท, 2.โครงการ แอทโมซ โอเอซิส อ่อนนุช (Atmoz Oasis Onnut) ราคาเริ่มต้นที่ 1.49 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 2,200 ล้านบาท, 3.โครงการ แอทโมซ โฟลว์ มีนบุรี (Atmoz Flow Minburi) มูลค่าโครงการ 1,350 ล้านบาท โดยโครงการนี้จะพัฒนาในรูปแบบมิกซ์ยูส มีคอมมูนิตี้ มอลล์ภายใต้แบรนด์ Mingle Mall แห่งที่ 3 ภายในโครงการด้วย มูลค่าการลงทุนประมาณ 400-500 ล้านบาท(รวมค่าก่อสร้างและที่ดิน) , 4.โครงการ แอทโมซ พอร์เทรต ศรีสมาน (Atmoz Portrait Srisaman) มูลค่าโครงการ 1,150 ล้านบาท  และ 5.โครงการ เคฟ ซีด เกษตร (Kave Seed Kaset) มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท

 และเพิ่มพอร์ทโครงการบ้านอีก 2 โครงการ  คิดเป็นสัดส่วน 40% ได้แก่ 1.โครงการ เอสต้า รังสิต คลอง 2 (Esta Rangsit Khlong 2) มูลค่าโครงการ 680 ล้านบาท และ 2.โครงการ ดิ ออเนอร์ โยธินพัฒนา (THE HONOR Yothinpattana)  ราคาเริ่มต้นที่ 29-50 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 4,170 ล้านบาท

“จากประสบการณ์ ความเข้าใจไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของกลุ่มลูกค้า และการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูล ผนวกกับสถานการณ์ปัจจุบันในยุค New Normal ทำให้ผู้บริโภคมองหาที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง มีฟังก์ชันการใช้งานเป็นสัดส่วน ทำให้เราตัดสินใจปรับเพิ่มพอร์ทการพัฒนาโครงการบ้านเพิ่มขึ้น เพื่อตอบโจทย์อุปสงค์ที่ขยายตัวในตลาด” นายกรมเชษฐ์ กล่าว

นายกรมเชษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า  ใน 7 โครงการดังกล่าวที่เปิดตัวใหม่นั้น เบื้องต้นเป็นการพัฒนาโดย ASW ทั้งหมด แต่ขณะนี้ก็มีพันธมิตรทั้งชาวญี่ปุ่น เกาหลี และคนไทย สนใจเข้ามาร่วมทุนพัฒนาโครงการด้วย ประมาณ 3-4 ราย โดยชาวญี่ปุ่นนั้นจะเป็นกลุ่มทุนใหม่ ขณะเดียวกันบริษัทฯก็ยังเปิดกว้างให้กลุ่มทาคาระ เลเบ็น ที่ประกาศร่วมทุนพัฒนาโครงการ “แอทโมช บางนา”ไปเมื่อเร็วๆนี้ ได้ร่วมทุนในโครงการใหม่ๆด้วยเช่นกัน ส่วนกลุ่มทุนเกาหลีนั้น เป็นผู้ประกอบการจากธุรกิจอุตสาหกรรม แต่สนใจที่จะขยายไลน์มาในธุรกิจอสังหาฯ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจา จึงยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ในขณะนี้

“การที่มีพันธมิตรมาร่วมทุนด้วย โดยเฉพาะชาวต่างชาติ จะทำให้บริษัทได้โนว์ฮาวใหม่ๆเข้ามา รวมไปถึงเม็ดเงินในการลงทุน ที่ทำให้ลดความเสี่ยง และมีเงินมาพัฒนาโครงการได้เป็นจำนวนมาก”นายกรมเชษฐ์ กล่าว

นอกเหนือจาก 7 โครงการใหม่ดังกล่าวแล้วบริษัทฯยังมีแผนที่พัฒนาโครงการในรูปแบบของไฮไรส์คอนโดฯด้วย โดยมีที่ดินรองรับการพัฒนาแล้ว จำนวน 3-4 แปลง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาสที่เอื้ออำนวยให้พัฒนา  จึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

สำหรับงบลงทุนในปี 2565 บริษัทวางไว้ที่ประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท ในการซื้อที่ดินใหม่ประมาณ 2,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม โครงการที่จะเปิดใหม่ในปีนี้ ปัจจุบันมีที่ดินรองรับแล้วทั้งหมด และในบางแปลงก็สามารถรองรับการพัฒนาโครงการได้ถึง 3 ปี งบซื้อที่ดินในปีนี้ จะเป็นการซื้อที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการในปีถัดๆ ไป ส่วนที่เหลือจะใช้ในการพัฒนาโครงการ และอื่นๆ

นอกจากนี้ยังสนใจที่จะเข้าซื้อกิจการ (Mergers and Acquisitions : M&A)  โครงการคอนโดฯอย่างต่อเนื่อง โดยต้องเป็นโครงการที่เหมาะสม (Match)กับบริษัทด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจาอยู่ประมาณ 3-4 ราย ซึ่งเป็นคอนโดฯที่เปิดขายแล้ว และอยู่ในระหว่างการพัฒนา  แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ซึ่งการเทกโอเวอร์โครงการนั้น สามารถทำให้บริษัทฯเพิ่มผลกำไรได้เร็วและมากขึ้น อีกทั้งยังสามารถทำให้รับรู้รายได้ได้เร็วด้วยเช่นกัน

อีกทั้งบริษัทฯยังให้ความสนใจลงทุนในธุรกิจอื่นๆ (Non Property) ที่นอกเหนือจากธุรกิจอสังหาฯด้วย เพื่อสร้างรายได้ระยะยาว โดยเฉพาะธุรกิจสุขภาพและความงาม ผ่านบริษัท ดับบลิวเอชบี จำกัด ซึ่งเชื่อว่าใน 3 ปีนี้ยังเป็นเทรนด์ที่น่าลงทุนอยู่ ที่จะสามารถสร้างรายได้ประจำให้กับบริษัท โดยการดำเนินงานจะมีความเป็นไปได้ที่จะลงทุนเองทั้งหมด หรือการร่วมทุนกับพันธมิตร แต่ทั้งนี้ก็จะต้องมีการศึกษาข้อมูลให้ละเอียด ทั้งด้านบุคลากรและสไตล์การทำงานของพันธมิตรที่จะมาร่วมทุนด้วย โดยในปี 2565 นี้ บริษัทฯได้วางงบในการลงทุนธุรกิจอื่นๆประมาณ 200 ล้านบาท

“หนึ่งกลยุทธ์การเติบโตของบริษัทฯคือการเติบโตควบคู่ไปกับพันธมิตร ทั้งในรูปแบบการร่วมทุน (JV) การเข้าซื้อกิจการ (Mergers and Acquisitions : M&A) และการร่วมมือในรูปแบบ Collaboration เพื่อสร้างการเติบโตร่วมกัน โดยปี 2565 นี้ บริษัทก้าวสู่การดำเนินธุรกิจปีที่ 18 เปรียบเสมือนเรือที่กางใบเต็มที่พร้อมออกไปคว้าโอกาสใหม่ ในช่วงเวลาที่มีแรงลมส่งธุรกิจทุกทิศทาง โดยยุทธศาสตร์สำคัญที่บริษัทเตรียมพร้อมไว้ในปีนี้คือ “WIND OF CHANCE” ต่อยอดความสุขของทุกการอยู่อาศัย พร้อมเปิดรับทุกโอกาสทางธุรกิจจากความมุ่งมั่นขยายธุรกิจอสังหาฯ ที่เราเชี่ยวชาญอยู่แล้วอย่างไม่หยุดยั้ง ประกอบกับการมุ่งมั่นค้นหาโอกาสในธุรกิจใหม่ ๆ ทำให้เราเชื่อว่า ปีนี้จะเป็นอีกปีที่ท้าทายในการดำเนินธุรกิจของแอสเซทไวส์  นายกรมเชษฐ์ กล่าว

ขณะที่ภาพรวม ปี 2564 ที่ผ่านมา บริษัทพัฒนาโครงการไปรวม 38 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 38,000 ล้านบาท มีทั้งโครงการสร้างเสร็จและส่งมอบเป็นที่เรียบร้อย 29 โครงการ และมีโครงการที่กำลังเปิดขายและพัฒนาอยู่ จำนวน 9 โครงการ โดยปัจจุบันบริษัทมียอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ารวมกว่า 7,338 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ในปี 2565 ประมาณกว่า 4,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ถึงปี 2566

ทั้งนี้ ในปี 2565 จะมีโครงการคอนโดมิเนียมเสร็จใหม่ จำนวน 7 โครงการ รวมจำนวน 2,674 ล้านบาท มูลค่าโครงการรวม 6,600 ล้านบาท ขณะเดียวกันล่าสุดบริษัทยังมีสินค้าพร้อมขาย (สต๊อก) ในมือมูลค่ารวมประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถรองรับการขายอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทได้ตั้งเป้าหมายยอดขาย (Presale) ไว้ที่ 10,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขาย 8,839 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นยอดขายที่เติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) ต่อเนื่องจากปี 2564  วางเป้าหมายรายได้รวมไว้ที่ 6,000 ล้านบาท

 

toppercool

CEO,Prop2morrow Blogger อสังหาฯ , นักการตลาดดิจิตัล สาย Content marketing