ไซมิสฯประกาศรุกตลาดแนวราบเพิ่มสัดส่วน 50% ภายใน 2 ปี เปิดแผนปีเสือผุด 6 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 11,621.9 ล้านบาท ชูโครงการไฮไลท์มิกซ์ยูสย่านตลิ่งชัน ขยายฐานธุรกิจ Aging Hospital แห่งแรก ปลายปีพร้อมเปิดเพิ่มอีก 2 โครงการหากดีลซื้อที่ดินจบ ชู 4 กลยุทธ์เด็ด นำสินทรัพย์ที่มีมาต่อยอดธุรกิจต่างๆ แตกแขนงออกเป็น 6 ธุรกิจ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้มากขึ้น ตั้งเป้ารายได้ปี65 แตะ 4,500 – 4,900 ล้านบาท ส่วน Backlog ในมือตอนนี้ตุนไว้แล้ว 4,324 ล้านบาท ทยอยรับรู้ภายใน 3 ปี (2565-2569)
นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในปี 2565 ว่า จะรุกตลาดอสังหาฯแนวราบมากขึ้น เพื่อเพิ่มพอร์ตให้เทียบเท่าคอนโดฯ สัดส่วน 50% ภายในระยะเวลา 2 ปี จากในอดีตที่มีพอร์ตแนวราบเพียง 1 โครงการ หรือสัดส่วนเพียง 5% เท่านั้น ด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้ทั้งหมด 6 โครงการ รวมมูลค่า 11,621.9 ล้านบาท ได้แก่
1.Landmark @ Kasetsart TSH Station ตั้งอยู่บนพื้นที่ 3 พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม จำนวน 3 อาคาร ขนาด 25-45 ตารางเมตร ราคา 3.99-5 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,714.6 ล้านบาท จะเปิดพรีเซลในวันที่ 2 เมษายน 2565
2.Monsane Exclusive Villa Ratchapruek-Pinklao ตั้งอยู่บนพื้นที่ 33 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว ขนาด 100-200 ตารางวา จำนวน 59 ยูนิต ราคา 24.9-50 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,895.1 ล้านบาท จะเปิดพรีเซลประมาณเดือนเมษายน 2565 นี้
3.Siamese Kin Ramintra Phase 2 ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ จากทั้งหมด 23 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของ บ้านแฝด ขนาด 35 ตารางวา จำนวน 16 ยูนิต ราคา6.9-8.5 ล้านบาท และทาวน์โฮม ขนาด 18 ตารางวา ราคา 5.9-8 ล้านบาท จำนวน 20 ยูนิต มูลค่าโครงการ 232 ล้านบาท จะเปิดพรีเซลประมาณเดือนตุลาคม 2565 นี้
4.Siamese Home @ Phaholyothin – Rangsit ตั้งอยู่บนพื้นที่ 117 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของอาคารพาณิชย์,บ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม แบ่งการพัฒนาเป็น 3 เฟส ระดับราคาประมาณ 2 ล้านบาทต้นๆ รวมมูลค่าโครงการ 3,363.3 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดพรีเซลประมาณเดือนพฤศจิกายน 2565 นี้
5.Siamese Talingchan ตั้งอยู่บนพื้นที่ 6 ไร่ บริเวณถนนรถไฟ ย่านตลิ่งชัน ใกล้โรงพยาบาลศิริราช เป็นโครงการมิกซ์ยูส ประกอบด้วยคอนโดฯ,โรงแรม และโรงพยาบาล (สัดส่วน 20% จากพื้นที่ทั้งหมด) รวมทั้งหมด 4-5 อาคาร ขนาดประมาณ 30 ตารางเมตรขึ้นไป ราคาเฉลี่ยประมาณ 100,000 บาท/ตารางเมตร โดยในส่วนของโรงพยาบาลจะดำเนินการในรูปแบบของ Aging Hospital เน้นการให้บริการในเรื่องของผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นศูนย์สุขภาพแห่งแรกของบริษัท มูลค่าโครงการรวม 2,452.3 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มเปิดให้บริการได้ภายในช่วงปลายปี 2566 และบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาพัฒนาศูนย์สุขภาพเพิ่มอีก 2 แห่ง ซึ่งเป็นทำเลใกล้กับโรงพยาบาล โดยที่อาจจะเป็นการพัฒนาโครงการในหัวเมืองท่องเที่ยวใหญ่ อาทิ นครราชสีมา ขอนแก่น และเชียงใหม่ ซึ่งจะใช้ที่ดินในการพัฒนาประมาณ 5-10 ไร่ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจาซื้อที่ดิน คาดว่าจะเปิดพรีเซลประมาณปลายปี 2566
6.Siamese Luxury Home @ Ratchapruek -345 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 37 ไร่ เป็นการพัฒนาบ้านเดี่ยว ขนาด 60 ตารางวาขึ้นไป ราคาตั้งแต่ 12 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 111 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,964.6 ล้านบา
นอกจากนี้ในปลายปี 2565 อาจจะมีการพัฒนาเพิ่มอีก 2 โครงการ โดยแนวราบจะเน้นทำเลโซนตะวันออกของกทม.และโซนราชพฤกษ์ เป็นหลัก ซึ่งจะทำให้ในปีนี้บริษัทฯมีพอร์ตโครงการแนวราบเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วน 20% และจะพัฒนาโครงการคอนโดฯโลว์ไรส์ ย่านลาดพร้าว ซึ่งเป็นคอนโดฯราคาจับต้องได้ ที่ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจาซื้อที่ดิน ซึ่งจะใช้พื้นที่ประมาณ 30-40 ไร่ หากสามารถเจรจาซื้อที่ดินได้ ก็จะเป็น Green Finance ที่ค่อนข้างใหญ่ โดยได้รับการสนับสนุนเงินทุนจาก International Finance Corporation (IFC) ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทลดลงมาเป็น 5% จากเดิมอยู่ที่ 6%
โดยงบลงทุนในปี 2565 บริษัทตั้งไว้ที่ 6,500 ล้านบาท โดยที่จะใช้รองรับในการซื้อที่ดินประมาณ 2,000 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะใช้ในการรองรับการก่อสร้าง-ลงทุนในธุรกิจใหม่ และบริษัทอยู่ระหว่างกระบวนการขออนุมัติวงเงินสนับสนุนสินเชื่อจบก IFC ซึ่งเป็นสินเชื่อประเภท Green Finance วงเงิน 1,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะได้รับการอนุมัติในอีกไม่นานนี้ โดยที่บริษัทจะนำมารองรับการลงทุนโครงการที่สนับสนุนด้านคุณภาพชีวิตของคน
“ในช่วงที่ผ่านมาเราไม่มีปัญหาเรื่องการก่อสร้างแต่อย่างใด และยังมีความได้เปรียบคู่แข่งในเรื่องต้นทุนค่าก่อสร้างถึง 20% แม้ว่าที่ผ่านมาเหล็กเส้นจะมีการปรับราคาขึ้นมา แต่ก็ยังไม่สูงมาก ซึ่งการพัฒนาแต่ละโครงการของบริษัทฯ จะมีการคำนวณเผื่อเหลือ เผื่อขาดไว้แล้ว ทำให้ที่ผ่านมาลดต้นทุนการก่อสร้างไปได้มาก และปีนี้ก็เช่นกัน เพราะเรามีความสามารถในการเป็นผู้ชำนาญด้านการก่อสร้างเป็นอย่างดี”นายขจรศิษฐ์ กล่าว
นอกจากนี้บริษัทฯยังอยู่การพิจารณาใบอนุญาตจัดตั้งธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ (AMC) ซึ่งคาดว่าจะได้รับใบอนุญาตในช่วงไตรมาส 2/2565 และจะเริ่มเข้าซื้อ NPL และ NPA มาบริหาร โดยที่ตั้งเป้าภายใน 3 ปี จะมีพอร์ตที่บริษัมบริหารอยู่ที่ 2,600 ล้านบาท และเตรียมต่อยอดธุรกิจไปสู่ธุรกิจ Leasing อสังหาริมทรัพย์ ที่เป็นการใช้เครดิตสินทรัพย์ของลูกค้ามาค้ำประกันในการซื้อโครงการของบริษัทฯ ซึ่งจะต้องมีการยื่นของใบอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพิ่มเติม โดยที่เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่จะเข้ามาสนับสนุนในการช่วยขยายฐานลูกค้า และหนุนต่อการขายโครงการของบริษัทให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทมองว่าในช่วงปลายปี 2566 จะเริ่มเห็นความชัดเจนของการนำบริษัทในเครือเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาร่วมกับที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) โดยที่บริษัทจะมีการทยอยส่งบริษัทในเครือทั้งธุรกิจอาหาร ธุรกิจบริหารจัดการโรงแรม ธุรกิจสุขภาพ และธุรกิจ AMC เข้าตลาดฯในอนาคต
ในปีนี้บริษัทฯได้กำหนด 4 กลยุทธ์ ในการดำเนินงานเพื่อพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 1.การจัดหาเงินลงทุนให้สอดคล้องกับการวางแผนการพัฒนาโครงการ อาทิ Green Finance หรือ Green Bond ซึ่งเป็นการลงทุนรูปแบบใหม่ สามารถลดต้นทุนทางด้านการเงินของบริษัทได้ 2.ปรับสัดส่วนการพัฒนาโครงการ โดยเพิ่มรายได้ของโครงการแนวราบมากยิ่งขึ้น 3. มุ่งพัฒนาโครงการในทำเลที่มีศักยภาพ เช่น ถนนสุขุมวิท โดยมีการเก็บอสังหาริมทรัพย์นี้ไว้ และทำการบริหารจัดการ ทำให้เปลี่ยนการรับรู้รายได้จากการขายเป็นการรับรู้รายได้อย่างสม่ำเสมอ (Recurring Income) และ 4. การพัฒนาธุรกิจใหม่ เพื่อขยายธุรกิจ สู่ธุรกิจ New S-Curve ซึ่งจะเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตในอนาคต
อย่างไรก็ตามในปี 2565 บริษัทฯ ได้ตั้งเป้ารายได้เติบโตอยู่ที่ 4,500 – 4,900 ล้านบาทจากปีก่อน โดยมีรายได้หลักจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งปัจจุบันมีโครงการที่กำลังดำเนินงานอยู่ (Under Development) จำนวน 4 โครงการ มูลค่า 23,976.3 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้จะมีโครงการที่แล้วเสร็จคือ Landmark @ MRTA Station ขณะที่มีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ จำนวน 8 โครงการ มูลค่า 18,938.9 ล้านบาท โดยเป็นอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายมูลค่า 15,432 ล้านบาทซึ่งมีมูลค่าคงเหลือเป็น Inventory ที่พร้อมขาย เพื่อรับรู้รายได้อีก 5,059.6 ล้านบาท
ปัจจุบัน บริษัทฯมี Backlog มูลค่ารวม 4,324.20 ล้านบาท จะรับรู้รายได้ภายในปี 2565-2569 ขณะเดียวกันปีนี้บริษัทได้ขยายโครงการแนวราบ จำนวน 4 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 7,500 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้ภายในปี 2565-2570 นี้
“บริษัทฯ มุ่งมั่นสร้างการเติบโตแข็งแกร่ง โดยมีการวางแผนพัฒนาโครงการเพิ่มเติมอยู่ตลอดเพื่อสร้างการรับรู้รายได้ของโครงการใหม่ๆ พร้อมกันนี้ในปี 2565 ได้ตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนพัฒนาโครงการแนวราบให้อยู่ที่ 50% ของรายได้รวมภายในปี 2567 และคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นประมาณปีละ 3,000 – 4,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมองหาโอกาสสร้าง S-Curve จากธุรกิจใหม่ๆ อาทิเช่น ธุรกิจด้านพลังงานสีเขียว ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการบริการ ธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีของการพักอาศัย ธุรกิจเกี่ยวกับการบริการผู้สูงอายุ ธุรกิจเกี่ยวกับ Spa & Wellness และธุรกิจการเงินและการลงทุนอีกด้วย ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานของบริษัทฯให้สามารถเติบโตได้อย่างโดดเด่น มั่นคงและยั่งยืนต่อไป” นายขจรศิษฐ์ กล่าวในที่สุด