“พีระพงศ์ จรูญเอก”สวมหมวกนายกสมาคมอาคารชุดไทย คนที่ 12 พร้อมเดินหน้าสานต่อนโยบายเดิม ทั้งเร่ง 3 ภารกิจหลัก หวังกู้วิกฤติตลาดคอนโดฯปีเสือฟื้นตัว ทั้งรุกจัดงาน“มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 42”ยิ่งใหญ่ จับตาเทรนด์คอนโดฯปีนี้ความต้องการห้องชุดขนาดใหญ่แนวรถไฟฟ้าสายใหม่ทดแทนแนวราบ ฝากการบ้าน 3 ข้อให้ผู้ว่ากทม.คนใหม่เพิ่มคุณภาพชีวิตคนกทม.-เอื้อธุรกิจอสังหาฯ
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้จำกัด(มหาชน)หรือ ORI ในฐานะนายกสมาคมอาคารชุดไทยคนล่าสุด เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ได้รับการไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งนายกฯคนที่ 12 ก็พร้อมที่จะสานต่อนโยบายเดิมจากอดีตนายกสมาคมฯ เพราะในช่วงวิกฤติโควิด-19 ที่ผ่านมาตลาดคอนโดฯได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก ดังนั้นตนจะพยายามทำให้ตลาดฟื้นตัวเหมือนเช่นในช่วงปี 2560-2561 เพราะดีมานด์คนไทยและต่างชาติยังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยไทยอย่างต่อเนื่อง โดยนโยบายเร่งด่วนในปี 2565 ที่ต้องรีบดำเนินการมี 3 เรื่องหลัก คือ
1.การไปขอความร่วมมือกับบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ -(National Credit Bureau) หรือเครดิตบูโร ในการช่วผ่อนปรนกฎเกณฑ์ในการผ่อนคลายเครดิตการกู้ยืมสินเชื่อสำหรับกลุ่มอาชีพที่ได้รับผลกระทบในช่วงที่ได้รับผลกระทบในช่วงวิกฤติโควิด-19 ในช่วงกว่า 2 ปี โดยตรง ซึ่งในเรื่องเครดิตบูโรเป็นสิ่งที่มองว่าจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้คนที่สามารถฟื้นกลับมาได้และอยากมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง สามารถเข้าถึงการกู้ยืมสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยได้ และมีความมั่นใจในการซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้น เป็นผลบวกต่อภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยที่ในปัจจุบันสถาบันการเงินค่อนข้างให้ความสำคัญมากกับเรื่อง Credit Scrolling และความสามารถในการชำระหนี้
โดยนโยบายแรกนี้เป็นนโยบายด้านความร่วมมือกับสถาบันการเงินในการช่วยเหลือให้คนที่ได้รับผลกระทบ และสามารถฟื้นกลับขึ้นมาได้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นนโยบายที่ดำเนินการควบคู่ไปกับนโยบายที่ร่วมมกับสถาบันการเงินของนายกสมาคมอาคารชุดคนก่อน ที่มีโครงการรวมหนี้ ที่ยังคงดำเนินต่อไป เพื่อเป็นอีกหนึ่งนโยบายในการที่ทำให้คนมีบ้านได้ง่ายมากขึ้น และเข้าถึงสินเชื่อในระบบที่มีต้นทุนต่ำได้มากขึ้น และเป็นนโยบายที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยให้กับผู้กู้ ที่มีหนี้ระยะสั้นที่ดอกเบี้ยสูง นำมารวมกับหนี้ระยะยาวที่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน เช่น บ้าน หรือรถยนต์ ที่มีอัตราดอกเบี้ยไม่สูง ทำให้อัตราดอกเบี้ยที่จ่ายปรับลดลงมา สามารถช่วยเหลือผู้กู้ได้ และเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นการซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้นด้วยเช่นกัน
2.เดินหน้าสร้างความร่วมมือกับกระทรวงแรงงานและสำนักงานประกันสังคม (สปส.)ในการให้ สปส.จัดแคมเปญในการสนับสนุนการมีที่อยู่อาศัยหลังแรกกับผู้ใช้สิทธิ์ประกันสังคมของสปส. โดยนโยบายจะคล้ายกับรถยนต์คันแรก สำหรับบ้านจัดสรร–คอนโดฯ ระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท ซึ่งจะนำเงินจากกองทุน สปส.ที่มีอยู่มาจัดสรรในโครงการดังกล่าว
3.จะกระตุ้นตลาดต่างประเทศ ในเรื่อง Permanent Residenc Visa หรือ (Green Card) ให้สิทธิ์การพักอาศัยระยะยาว 10 ปี คล้ายประเทศมาเลเซีย ทดแทน “อีลิทคาร์ด” (Elite Card) เพื่ออำนวยความสะดวกและจูงใจให้ลูกค้าชาวต่างชาติ มาซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทยมากขึ้นหวังให้ตลาดคอนโดฯกลับมาฟื้นตัวและคึกคักอีกครั้ง
ขณะที่กลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่กลับมาซื้อยังไม่กลับมาเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมในปี 2565 ยังขาดปัจจัยหนุนจากลูกค้าชาวต่างชาติ ทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมยังไม่กลับมาฟื้นตัวได้มาก แต่หลังจากการเริ่มผ่อนคลายมาตรการเข้าประเทศ และเปิดประเทศอย่างเต็มที่แล้ว จะทำให้ลูกค้าชาวต่างชาติเข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งจะเห็นชัดเจนในปี 2566 ผนวกกับการหันกลับมาซื้อโครงการคอนโดมิเนียมของคนในประเทศอีกครั้ง จะทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมกลับมาฟื้นตัวขึ้นไปใกล้เคียงกับระดับปี 2662 ก่อนเกิดโควิด-19 ได้ภายในปี 2566
นอกจากนี้ทางสมาคมอาคารชุดไทยยังต้องมีการให้ความรู้ในการช่วยผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิกสมาคมฯในการปรับตัวพัฒนาสินค้าคอนโดมิเนียมให้ตอบโจทย์และเข้าถึงความต้องการการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมของคนในปัจจุบันมากขึ้น โดยเฉพาะรูปแบบการพัฒนาห้องพักอาศัยที่พยายามทำความเข้าใจกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป และทำให้มีจุดเด่นในการอยู่อาศัยคอนโดมิเนียมที่คล้ายกับการอยู่บ้านมากขึ้น เช่น การพัฒนาห้องพักอาศัยแบบลอฟท์ที่มี 2 ชั้น เพดานสูง 4 เมตร ระดับราคาตั้งแต่ 2.5 ล้านบาท รวมถึงการเลือกทำเลที่มีศักยภาพและมีความต้องการในการอยู่อาศัยตามแนวรถไฟฟ้า ซึ่งยังเป็นปัจจัยที่สำคัญในการพัฒนาคอนโดมิเนียม
“ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาทางสมาคมฯได้พยายามเจรจากับทางภาครัฐ ด้วยการเดินหน้ารวมหนี้ โดยการนำสินเชื่อระยะสั้นทั้งบ้านและรถมารวมกัน เพื่อให้ดอกเบี้ยของผู้กู้ถูกลงและเข้าการมีบ้านได้ง่ายขึ้น ซึ่งเราจะพยายามต่อยอดจากนโยบายเดิมของ ดร.อาภา อรรถบูรณ์วงศ์นายกสมาคมฯท่านที่ผ่านมา ซึ่งต้องขอบคุณท่านที่ช่วยผลักดันมาตรการต่างๆเพื่อช่วยเหลือสมาคมฯมาโดยตลอด โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติโควิด-19” นายพีระพงศ์ กล่าว
นายพีระพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า งานแรกของสมาคมฯที่จะต้องจัดให้ได้ในปีนี้คือ “งานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 42” ที่เลื่อนมาหลายครั้ง ซึ่งจะจัดให้ยิ่งใหญ่กว่าทุกครั้ง ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ หรือ QSNCC ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถระบายสต๊อกที่เหลืออยู่ได้ ขณะเดียวกันผู้บริโภคที่ยังต้องการที่อยู่อาศัยก็ควรที่จะรีบซื้อภายในปีนี้ เนื่องจากยังหาซื้อได้ในราคาที่ถูก เนื่องจากผู้ประกอบการหันไปลดการใช้พื้นที่ส่วนกลางให้เล็กลงแทน เพราะปัจจุบันต้นทุนการก่อสร้างพุ่งขึ้นสูงไปถึงประมาณ 15%
“ปัจจัยที่กังวลที่สุดของตลาดคอนโดฯคือกำลังซื้อ หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย รวมไปถึงสงครามระหว่างรัสเซีย–ยูเครน,ค่าเงินเฟ้อ,การปรับขึ้นราคาน้ำมันและค่าครองชีพที่สูงขึ้นทำให้อารมณ์ในการซื้อที่อยู่อาศัยลดลง ดังนั้นหากลูกค้าที่สนใจซื้อบ้านควรรีบซื้อในปีนี้ ก่อนที่จะมีการปรับขึ้นในปีหน้า” นายพีระพงศ์ กล่าว
ส่วนเรื่องกฎเกณฑ์การยื่นขออนุญาตทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA ของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ ทส. ที่ได้มีการปรับหลักเกณฑ์เพิ่มเติมนั้น ก็จะสานต่อนโยบายเดิมต่อไป เพื่อให้เป็นกฎระเบียบมากกว่าความคิดเห็น ซึ่งหากประสบความสำเร็จก็จะทำให้ต้นทุนการพัฒนาโครงการถูกลง
สำหรับเทรนด์คอนโดฯในช่วงระยะเวลา 8-9 เดือนของปี 2565 นี้ เชื่อว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความต้องการห้องขนาดใหญ่ทำเลรถไฟฟ้าสายใหม่ ขนาดประมาณ 50-60 ตารางเมตรจะเป็นตัวเลือกใหม่ของลูกค้าที่จะมาทดแทนแนวราบชานเมืองมากขึ้น เพื่อให้สามารถทำงานในรูปแบบของ Work From Home ได้ ซึ่งผู้ประกอบการเองก็ต้องปรับตัวและทำราคาให้ดีที่สุดเพื่อดึงดูดความสนใจ ระดับราคาควรอยู่ที่ประมาณ 70,000-80,000 บาท/ตาราเมตร
ส่วนการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร(กทม.)คนใหม่นั้น หากได้ผู้ว่าฯท่านใหม่เข้ามา ตนอยากให้ดำเนินการใน 3 เรื่องหลัก คือ
1.อยากให้ปรับปรุงทัศนียภาพกทม.ทั้งหมด โดยเฉพาะทางเท้า
2.อยากให้มีการปรับปรุงคุณภาพชีวิตคนกทม.ด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ให้มากขึ้น
3.อยากให้มีกระบวนการในการมีส่วนร่วมในการทำงานกับภาคเอกชนมากขึ้น โดยเฉพาะกับภาคธุรกิจอสังหาฯ ซึ่งมีเอกสารถึง 30 ใบ ที่ต้องประสานงานกับหน่วยงานในสังกัดกทม. หากสามารถบูรณาการได้ จะทำให้ต้นทุนการพัฒนาโครงการแต่ละปีลดลงได้ จากปกติจะเสียค่าดอกเบี้ยประมาณ 2-3%