แสนสิริฯเผยภาพรวมตลาดแนวราบลักชัวรียังส่งสัญญาณบวก-แข็งแกร่ง ดีมานด์มีกำลังซื้อต่อเนื่อง มั่นใจช่วยหนุนยอดขาย–ยอดโอนโครงการแนวราบรวมของบริษัทปี65 โตตามเป้า 10-15% ล่าสุดเปิดตัวแบรนด์ใหม่ “DEMI SATHU 49” ลักชัวรี เรสซิเดนซ์แนวคิดใหม่ มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท คาดปิดการขายทั้งหมดภายในปีนี้ จ่อผุดแบรนด์ลักชัวรีทั้งปีอีก 5 โครงการต่อเนื่อง
นายอาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริจำกัด (มหาชน)หรือ SIRI เปิดเผยถึง ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบลักชัวรี่ไทยว่า ยังคงส่งสัญญาณบวกและแข็งแกร่ง โดยอุปทานในกลุ่มนี้ยังมีไม่มากนัก ขณะที่อุปสงค์มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังสูง โดยมีจำนวนหน่วยขายได้ไปทั้งสิ้นถึง 14,766 หน่วย คิดเป็นอัตราการขายถึง 72% ในปีที่ผ่านมา ซึ่งบ้านที่มีระดับราคาขายระหว่าง 10 – 20 ล้านบาท มีดีมานต์มากที่สุด รองลงมาคือ 21 – 30 ล้านบาท และ 31 – 40 ล้านบาท ตามลำดับ ทั้งนี้แสนสิริมองเห็นแนวโน้มโอกาสเติบโตของตลาดแนวราบลักชัวรี่ รวมทั้งความเชี่ยวชาญผู้นำตลาดอสังหาฯ ลักชัวรี่ จากประสบการณ์พัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากว่า 37 ปี และแบรนด์อันดับหนึ่งของคนอยากมีบ้าน พิสูจน์ความสำเร็จจากผลงานปิดการขาย บ้านแสนสิริ พัฒนาการ โครงการแฟล็กชิพซูเปอร์ลักชัวรี่ นาราสิริ แบรนด์บ้านเดี่ยว Luxury in Details ซึ่งปิดการขายในทุกโครงการ รวมถึงล่าสุด บูก้าน (BuGaan) เอ็กซ์คลูซีฟ โมเดิร์น เรสซิเดนท์ ราคา 35.9 – 80 ล้านบาท หนึ่งใน Sansiri Luxury Collection ย่านโยธินพัฒนา ที่ปิดการขายภายในระยะเวลาเพียง4 เดือน ขณะที่บ้านเดี่ยวแบรนด์เศรษฐสิริ และ บุราสิริ ระดับราคา 8 – 20 ล้านบาท ได้รับการตอบรับที่ดีอย่างล้นหลามปิดการขายรวด 5 โครงการ ทำให้แสนสิริ มียอดขายจากโครงการเซกเมนต์ระดับลักชัวรี่และซูเปอร์ลักชัวรี่รวมถึง 11,000 ล้านบาท ยอดโอนรวม 8,900 ล้านบาทและ Sold Out รวมทั้งสิ้น 8 โครงการ มูลค่ารวม 17,200 ล้านบาท ในปี 2564 ที่ผ่านมา
“ยอดขายของโครงการแนวราบระดับลักชัวรี่ของบริษัทถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่ยังคงมีการซื้อที่อยู่อาศัยมาอย่างต่อเนื่อง และเป็นกลุ่มที่ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากภาวะค่าครองชีพสูง และได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นกลุ่มแรกๆ ทำให้กลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูงยังมีความสามารถในการซื้อที่ดีมาต่อเนื่อง และเป็นปัจจัยที่หนุนการขายโครงการแนวราบระดับลักชัวรี่ของบริษัท ซึ่งในไตรมาส1/2565 โครงการแนวราบระดับลักชัวรี่ทำยอดขายไปได้ 2,000 ล้านบาท จากยอดขายแนวราบในไตรมาสที่ 4,400 ล้านบาท และคาดว่าในไตรมาส 2/2565 และไตรมาส 3/2565 มั่นใจว่ายอดขายโครงการแนวราบในช่วง 2 ไตรมาสดังกล่าวจะทำได้มากกว่า 2,000 ล้านบาท และเป็นปัจจัยที่หนุนให้ยอดขายและยอดโอนโครงการแนวราบรวมของบริษัทในปี 2565 เติบโตได้ตามเป้า 10-15%” นายอาณัติ กล่าว
สำหรับโครงการแนวราบในระดับราคาที่จับต้องได้ภายใต้แบรนด์”สิริ เพลส”ในปัจจุบันแนวโน้มลูกค้าในกลุ่มดังกล่าวค่อนข้างได้รับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่สูง ส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น และการพิจารณาสินเชื่อของสถาบันการเงินที่มีความเข้มงวดกับการให้สินเชื่อในกลุ่มลูกค้าระดับกลาง–ล่าง มากขึ้น โดยที่เห็นได้จากอัตราการปฏิเสธสินเชื่อองลูกค้าที่เข้ามาซื้อโครงการ “สิริ เพลส”ในช่วงที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นจาก 20% เป็น 50% แต่ทางบริษัทก็ยังมีแคมเปญและแนวทางต่างๆในการช่วยเหลือลูกค้าให้สามารถซื้อบ้านได้ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวเป็นปัจจัยที่ทำให้บริษัทมีการกระจายการเปิดโครงการใหม่มายังกลุ่มลักชัวรี่มากขึ้นในปีนี้
ดังนั้นในปี 2565 นี้ แสนสิริฯ จึงต้องการสานต่อความสำเร็จในผู้นำแบรนด์บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ รวมทั้งตอกย้ำผู้นำ Taste-Maker Brand ด้วยการเปิดตัว “DEMI (เดมี)” ลักชัวรี เรสซิเดนซ์แนวคิดใหม่ แบรนด์ใหม่ล่าสุดจากแสนสิริ ที่พัฒนาจาก YOU-Centric ภายใต้แนวคิด “YOU Are Made For Life” ที่มี “คุณ” ทุกคนเป็นศูนย์กลาง ในการพัฒนาโครงการที่คิดมาจากความต้องการของลูกค้า สะท้อนสู่ ฟังก์ชันและงานดีไซน์ที่โดดเด่น เพราะบ้าน ไม่ใช่เพียงแค่ที่อยู่อาศัย แต่คือ พื้นที่แห่งความสุขและประสบการณ์การใช้ชีวิตที่มีคุณค่าภายใต้คอนเซ็ปต์“Space of Home” และ “The Convenience and Modern Lifestyle” ตอบทุกความต้องการของคนรุ่นใหม่ ใช้ชีวิตทุกด้านได้อย่างสมดุล หลงใหลชีวิตเมือง สะท้อนรสนิยมโดดเด่นไม่เหมือนใคร การพัฒนาโครงการ DEMI ไม่จำกัดว่าจะเป็นโครงการทาวน์โฮมหรือบ้านเดี่ยว โดยจะต้องประกอบด้วย 3 ปัจจัยหลัก คือ
-Private Community เน้นความเป็นส่วนตัวสูง จำกัดจำนวนยูนิตไม่เกิน 100 หลังในแต่ละโครงการ บนที่ดินและทำเลที่เป็น Rare item ดีไซน์และฟังก์ชันโดดเด่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่ง Customize ให้เหมาะกับในแต่ละทำเลและไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้า
–เจาะกลุ่ม Young Successor ที่ใช้ชีวิตแบบคนเมือง (Urban Lifestyle) และประสบความสำเร็จเร็ว เปิดขายในระดับราคา 15 – 28 ล้านบาท
–บนโลเคชั่นที่เน้นทำเลเมืองที่เชื่อมต่อใจกลางเมือง CBD ได้อย่างง่ายดาย โดยทำเลแรกสาธุประดิษฐ์ พร้อมเล็งเปิดตัวในทำเลอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง
“แสนสิริ เห็นโอกาสที่เติบโตของตลาดลักชัวรี่แนวราบที่มีดีมานด์เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงลูกค้ากลุ่มไฮเอนด์ Young Successor ที่ไม่ได้มีความเปราะบางเรื่องราคา เนื่องจากตัดสินซื้อบ้านเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต จึงพัฒนาแบรนด์ใหม่ขึ้น ภายใต้ชื่อ “DEMI” เพื่อตอบโจทย์ดีมานด์ที่ยังมีอยู่ในตลาด รวมทั้งสถานการณ์ปัจจุบันที่ใช้ชีวิตแบบ Social Distancing ทำให้คนต้องการบ้านที่มีพื้นที่อยู่อาศัยมากขึ้น แต่ยังคงตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เมืองที่คุ้นเคยและสะดวกสบาย คนรุ่นใหม่ ต้องการใช้พื้นที่สำหรับการทำงานและการใช้ชีวิต และครอบครัวคนรุ่นใหม่ต้องการพื้นที่ ที่สามารถตอบโจทย์ไฟล์สไตล์การใช้วิตที่หลากหลาย ขณะที่แสนสิริมีบ้านเดี่ยวเศรษฐสิริ และ บุราสิริ ระดับราคา 12-25 ล้านบาท ที่ตอบรับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัย รวมถึงได้รับการตอบรับที่ดีอยู่แล้ว จึงเห็นช่องว่างทางการตลาดสำหรับที่อยู่อาศัย Luxury Residence เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้ากลุ่ม Young Successor ที่มองหาที่อยู่อาศัยในเมืองเดินทางสะดวกไม่ไกลจาก CBD เพราะยังคุ้นชินกับการชีวิตในเมือง แต่ก็ไม่ได้อยากอยู่คอนโดฯมองหา space ที่มากขึ้น” ” นายอาณัติ กล่าว
โครงการแรก “DEMI SATHU 49”(เดมี สาธุ 49) ตั้งอยู่บนพื้นที่ทั้งหมด 10 ไร่เศษ ในรูปแบบดีลักซ์ ทาวน์โฮม ท่ามกลาง Exclusive Community ขนาด 23-49 ตารางวา ราคา 18.9-35 ล้านบาท จำนวน 72 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท พร้อมเปิดชมโครงการครั้งแรกในวันที่ 1 พฤษภาคม 2565 นี้ คาดว่าจะปิดการขายทั้งหมดภายในปีนี้
การหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการแนวราบทำได้ยาก เนื่องจากอยู่ในทำเลใกล้เมือง รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก และยังเป็นทำเลที่ราคาที่ดินมีอัตราการเติบโตสูง จากราคาประเมินที่ดินของกรมธนารักษ์ฉบับล่าสุด ราคาประเมินที่ดินสูงที่สุดในกรุงเทพฯ คือ ถนนสีลม อยู่ที่700,000 – 1,000,000 บาท/ตารางวา อัตราเติบโตเฉลี่ย ในช่วง 4 ปี อยู่ที่ 22% และราคาประเมินที่ดินทำเลถนนสาทร อยู่ที่ 600,000 บาท/ตารางวา อัตราเติบโตเฉลี่ยในช่วง 4 ปี อยู่ที่26% ขณะที่ราคาที่ดินในทำเล สาธุฯ – พระราม 3 นั้น มีอัตราการเติบโตพุ่งสูงกว่าราคาที่ดินในโซน CBD โดยอยู่ระหว่าง 37 – 57% ในช่วง 4 ปี และ ราคาที่ดินทำเลถนน สาธุประดิษฐ์ ล่าสุดอยู่ที่ 250,000 บาท ต่อตารางวา เพิ่มขึ้นถึง 57% ในรอบ 4 ปี และเพิ่มขึ้นถึง 284% ในเวลา 12 ปี
อย่างไรก็ตามบริษัทฯยังมีแผนที่จะพัฒนาโครงการระดับลักชัวรีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะย่านกรุงเทพกรีฑา ยังมีที่ดินรองรับการพัฒนาอีกเกือบ 300 ไร่ ซึ่งในช่วงไตรมาส 2/2565 และไตรมาส 3/2565 จะเปิดตัวจำนวน 6 โครงการ มูลค่ารวม 8,600-9,600 ล้านบาท ระดับราคาประมาณ 8-28 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 5 โครงการ ได้แก่ นราสิริ 2 โครงการ เศรษฐสิริ 1 โครงการ บุราสิริ 1 โครงการ และ BuGaan 1 โครงการ และ DEMI สาธุ 49
“ในปีนี้จะนำที่ดินทำเลกรุงเทพกรีฑาพัฒนาโครงการระดับลักชัวรี ประมาณ 3 โครงการ และยังมองหาที่ดินทำเลอื่นอย่างต่อเนื่อง อาทิ ราชพฤกษ์,พระราม3 ,สาธุประดิษฐ์ บางนา ไม่เกินกม.8,ศรีนครินทร์,โซนตะวันตกของกทม.ไม่เกินวงเวียนพระราม5 และโยธินพัฒนา เป็นต้น“นายอาณัติ กล่าว
ส่วนที่ดินที่จะพัฒนาแบรนด์ “เดมี“นั้น ขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูล ซึ่งจะใช้ที่ดินประมาณ 5-10 ไร่ พัฒนาไม่เกิน 100 ยูนิต ปิดการขายไม่เกิน 1 ปีและอยู่ในพื้นที่ซีบีดี ซึ่งขณะนี้พอจะมีที่ดินรองรับการพัฒนาบ้างแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ ซึ่งที่ดินแต่ละแปลงที่จะนำมาพัฒนาแบรนด์ดังกล่าวจะต้องอยู่ที่ราคาประมาณ 100,000-200,000 บาท/ตารางวา เพื่อที่จะสามารถพัฒนาขายได้ในราคา 90,000 บาท/ตารางเมตร
“เรา เชื่อมั่นว่า “เดมี” จะเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ใหม่ตรงใจกลุ่มลูกค้า ที่ประสบความสำเร็จ จากความเชื่อมั่นในแบรนด์ แสนสิริ จากประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากว่า 37 ปี ด้วยแบรนด์ที่แข็งแกร่งและเข้าถึงลูกค้าในทุกระดับราคา ตอกย้ำผู้นำตลาดอสังหาฯลักชัวรี่ และแบรนด์อันดับหนึ่งของคนอยากมีบ้าน และสร้างยอดขายโครงการแนวราบในปีนี้ได้ 24,000 ล้านบาท และยอดโอนโครงการแนวราบ 22,000 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้” นายอาณัติ กล่าวในที่สุด