“กานดา”เล็งรุกตลาดคอนโดฯ-ธุรกิจรร.- Wellness หวังเพิ่มพอร์ตขยายฐานลูกค้า-สร้างรายได้ระยะยาว

  • Post author:
You are currently viewing “กานดา”เล็งรุกตลาดคอนโดฯ-ธุรกิจรร.- Wellness หวังเพิ่มพอร์ตขยายฐานลูกค้า-สร้างรายได้ระยะยาว
บิ๊กกานดา พร็อพเพอร์ตี้ฯ เผยหากครึ่งปีหลัง 65 ภาพรวมเศรษฐกิจฟื้นตัว เห็นภาพที่อยู่อาศัยปรับราคาขึ้นชัดเจนแน่จากหลากปัจจัยลบ ส่วนผลการปรับขึ้นดอกเบี้ย กระทบผู้ซื้อกู้สินเชื่อได้น้อยลง ด้านแรงงานขาดแคลนยังเป็นเรื่องใหญ่  เปิดแผนปีเสือจ่อผุดแนวราบ 6 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 4,700 ล้านบาท อนาคตเล็งนำที่ดินสะสมในกทม.ภูเก็ต  4 แปลง ผุดคอนโดฯและธุรกิจโรงแรมWellness เพิ่มพอร์ตสร้างรายได้ระยะยาวเพิ่ม มั่นใจยอดขายทั้งปีกวาด 3,300 ล้านบาท ส่วนรายได้พลาดเป้าเล็กน้อยที่ 2,200 ล้านบาท
นายอิสระ บุญยัง
นายอิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการอสังหาฯได้มีการปรับราคาสินค้าขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แต่เป็นการแอบปรับราคา โดยเฉพาะทาวน์เฮาส์ ระดับราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท จะไม่มีในตลาดอีกต่อไป ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ระดับราคา 3 ล้านบาทบวกลบ และเชื่อว่าหากภาพรวมเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง 2565 ฟื้นตัวดีขึ้น ผู้ประกอบการก็จะมีการปรับราคาสินค้าขึ้นอย่างชัดเจน โดยนอกจากปัจจัยลบเรื่องสงครามการสู้รบระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ,ราคาน้ำมัน ที่ส่งผลให้วัสดุก่อสร้างและที่อยู่อาศัยปรับขึ้นราคาแล้ว ตัวแปรที่สำคัญอีกประการคือการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะทำให้ความสามารถในการกู้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของผู้ซื้อได้น้อยลง

ส่วนปัญหาขาดแคลนแรงงานซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของภาคธุรกิจอสังหาฯก็ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการหลายรายหันมาใช้ระบบพรีคาสท์ในการก่อสร้างที่อยู่อาศัยมากขึ้น เพื่อทดแทนแรงงานที่ขาดแคลน และคาดการณ์ว่าหากมติคณะรัฐมนตรีในวันนี้(28 มิถุนายน 2565) จะให้มีการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวใหม่อีกรอบ เพื่อเป็นหลักฐานในการแสดงตัวตนอย่างชัดเจน ซึ่งจะลดแรงกดดันเรื่องการขาดแคลนแรงงานของผู้ประกอบการในระยะข้างหน้าได้

นายหัสกร บุญยัง
ด้านนายหัสกร บุญยัง รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า กลยุทธ์การเติบโตของบริษัทฯยังคงเน้นการเติบโตอย่างมั่นคง และที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือการขยายทำเล เพื่อเพิ่มฐานลูกค้า โดยแผนตั้งแต่ปี 2560-2566 บริษัทฯตั้งเป้าที่จะขยายทำเลให้ได้อย่างน้อยปีละ 1-2 ทำเล สำหรับในปี 2565 บริษัทเตรียมเปิดโครงการบนทำเลใหม่ในช่วงปลายปี ได้แก่ โซน รามอินทรา-คู้บอน ส่วนในปี 2566 บริษัทมีทำเลใหม่ที่เตรียมไว้เปิดโครงการใหม่แล้วอย่างน้อย 1 ทำเล ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อที่ดิน นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะแตกไลน์ธุรกิจทั้งการร่วมทุนและสนับสนุน Start Up อย่างต่อเนื่องด้วย แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้

สำหรับในปี 2565 บริษัทฯมีแผนเปิดโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบรวม 6 โครงการใหม่ มูลค่ารวมประมาณ 4,700 ล้านบาท มีทั้งการเปิดโครงการในทำเลเดิม และขยายไปในทำเลใหม่ๆ รวมทั้งการเปิดแบรนด์ใหม่ในกลุ่มทาวน์เฮาส์ระดับกลาง-กลางบน เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าให้ครอบคลุม และขยายฐานการสร้างรายได้ให้กว้างขึ้น โดยในครึ่งปีแรก ได้เปิดตัวโครงการ “ไอลีฟ ไพร์ม พัทยา-จอมเทียน”ไปแล้ว 1 โครงการ ส่วนที่เหลือจะทยอยเปิดตัวในครึ่งปีหลัง 2565  ซึ่งจะทำให้ในปี 2565 บริษัทจะมีทั้งโครงการใหม่ และโครงการที่อยู่ระหว่างการขายรวม 17 โครงการ ใน 10 ทำเล มูลค่ารวมประมาณ 10,300 ล้านบาท ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูมิภาค

นอกจากนี้ในอนาคตบริษัทฯยังมีแผนที่จะนำที่ดินสะสมทั้งในกทม.-ต่างจังหวัด จำนวน 4 แปลง มาพัฒนาคอนโดฯและธุรกิจโรงแรม- Wellness ด้วย ได้แก่

1.ที่ดินบริเวณใกล้ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล ภูเก็ต ตั้งอยู่บนพื้นที่ 7 ไร่ มีแผนพัฒนาเป็นคอนโดฯ สูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร ระดับราคา 2 ล้านบาทขึ้นไป ปัจจุบันผ่านการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) เป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปี 2557 แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าจะพัฒนาได้ในปีไหน คงต้องดูสถานการณ์ตลาดก่อน

2.ที่ดินใกล้ มา “ดู บัว คาเฟ่” (Ma Doo Bua Cafe’) บริเวณ อ.ถลาง จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นที่ดินที่ซื้อไว้เมื่อปี 2558 พื้นที่ประมาณ 25 ไร่ มีแผนจะพัฒนาเป็นโรงแรม ระดับ 4 ดาวขึ้นไปและ Wellness เพราะมองว่าปัจจุบันทั่วโลกมีจำนวนผู้สูงวัยเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นเมกะเทรนด์เรื่องสุขภาพจึงตามมา และประเทศไทยก็มีความพร้อมในเรื่องสาธารณสุข การบริการต่างๆ จึงเชื่อว่าจะสามารถตอบโจทย์ลูกค้าที่เป็นชาวต่างชาติได้ดี โดยภายในโครงการจะประกอบด้วย คอนโดฯ สูง 5 ชั้น จำนวน 4-5 อาคาร ,บ้านเดี่ยว 3 ชั้น จำนวน 5 ยูนิต และบ้านเดี่ยว 2 ชั้น จำนวน 10 ยูนิต มูลค่าโครงการไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูล คาดว่าจะสามารถพัฒนาได้ในระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 3 ปี

3.ที่ดินย่านพระราม 7 ใกล้การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.)ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 ไร่เศษ ผ่าน EIA แล้วเช่นกัน สามารถพัฒนาเป็นคอนโดฯได้สูงถึงเกือบ 30 ชั้น  แต่ขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาตลาด จึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

4.ที่ดินบริเวณถนนกัลปพฤกษ์ ตรงข้ามแม็คโคร ตั้งอยู่บนพื้นที่ 3 ไร่ครึ่ง มีแผนจะพัฒนาเป็นคอนโดฯ สูง 8 ชั้น ระดับราคา 2 ล้านบาทขึ้นไป มูลค่าโครงการประมาณ 800-1,000 ล้านบาท โดยคาดว่าที่ดินแปลงนี้จะนำขึ้นมาพัฒนาก่อน ภายในระยะเวลา 2 ปีนี้  ขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูล

“หากเราโฟกัสที่ที่อยู่อาศัยเพียงประเภทเดียว เราก็จะได้ลูกค้าเพียงกลุ่มเดียว แต่ถ้าหากสามารถขยายไปยังเซกเมนต์อื่นๆได้ ก็จะช่วยเพิ่มฐานลูกค้าและรายได้เพิ่ม ซึ่งเราก็จะค่อยๆสร้างพอร์ตให้กับบริษัทฯอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอนาคตเราก็มีแนวคิดที่จะนำบริษัทฯเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเช่นกัน แต่ยังไม่สามารถตอบได้ว่าภายในปีไหน เพราะยังไม่ตกผลึก และคาดหวังว่าในระยะยาวจะขึ้นแท่นติดอันดับ 1 ใน 10 ผู้ประกอบการอสังหาฯในประเทศไทยด้วยเช่นกัน”นายหัสกร กล่าว

นายหัสกร กล่าววเพิ่มเติมว่า  Kanda Change คงเป็นการสานต่อมากกว่า โดยยังคงสิ่งที่ดีอยู่แล้วไว้และอาจจะปรับเปลี่ยน กลยุทธ์ กระบวนการต่างๆ หรือ ผลิตภัณฑ์ ในมุมที่คิดว่าน่าจะดีขึ้นหรือเหมาะสมมากขึ้น ในส่วนของ Branding  จะเน้นการสร้างการรับรู้และจดจำที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น จากเมื่อก่อนอาจจะมีหลายแบรนด์ เช่น Kanda Place, The First Home, Siam Natural Home แต่ในปัจจุบันเกือบ 20 โครงการของบริษัททั้งหมดจะใช้ชื่อโครงการเพียงชื่อเดียวคือ Ileaf โดยแบ่งระดับของโครงการ ประกอบด้วย

Ileaf town และ ileaf park เป็นโครงการระดับกลางระดับราคา 1.9-5 ล้านบาท

Ileaf proud และ ileaf prime เป็นโครงการระดับพรีเมี่ยม ระดับราคา 2-10 ล้านบาท

Ileaf prima เป็นโครงการรวมหลายโครงการอยู่ด้วยกันเป็น Community

สำหรับโครงการใหม่ที่เปิดขายในปี 2565 ประกอบด้วย โครงการไอลีฟ ไพร์ม ลำลูกกา คลอง 2 โครงการไอลีฟ ไพร์ม 2 ประชาอุทิศ 90 โครงการไอลีฟ พราวด์ พระราม 2 กม.14 โครงการไอลีฟ พราวด์ วงแหวน-รังสิต คลอง 4 ซึ่งเป็นทาวน์โฮมแบรนด์ใหม่ ระดับราคา 2-3 ล้านบาท รวมทั้งการเปิดโครงการในทำเลใหม่อีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการไอลีฟ ไพร์ม รามอินทรา-คู้บอน และโครงการไอลีฟ ไพร์ม พัทยา-จอมเทียน จังหวัดชลบุรี

“ในปีนี้บริษัทฯได้ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 3,300 ล้านบาท และเป้ารายได้อยู่ที่ 2,500 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีแรกถือว่าเป็นไปตามเป้า มียอดขายอยู่ที่ประมาณ 1,500 ล้านบาท ยอดรับรู้รายได้ ประมาณ 1,000 ล้านบาท ทั้งนี้ในส่วนของยอดรับรู้รายได้คาดว่าจะทำได้ประมาณ 2,200 ล้านบาท ตกจากเป้าที่ตั้งไว้เล็กน้อย เนื่องจากความล่าช้าในการปรับปรุงรูปแบบบ้าน อย่างไรก็ตามยอดโอนถือว่า ยังคงเติบโตจากปี 2564 ประมาณ 10% และในอนาคตหากพัฒนาธุรกิจโรงแรมและ Wellness ก็จะทำให้บริษัทฯมีสัดส่วนจากรายได้ระยะยาวเพิ่มขึ้นเป็น 10% จากปัจจุบันมีสัดส่วนที่น้อยมาก จากการให้เช่าที่ดินและอาคารพาณิชย์ คือ 0.5%” นายหัสกร กล่าวในที่สุด

toppercool

CEO,Prop2morrow Blogger อสังหาฯ , นักการตลาดดิจิตัล สาย Content marketing