PROUD เตรียมรุกตลาดแนวราบซูเปอร์ลักชัวรีย่าน CBD กทม. เจาะเรียลดีมานด์กระเป๋าหนัก

  • Post author:
You are currently viewing PROUD เตรียมรุกตลาดแนวราบซูเปอร์ลักชัวรีย่าน CBD กทม. เจาะเรียลดีมานด์กระเป๋าหนัก

พราว เรียล เอสเตทฯ แนะภาครัฐหลังเปิดประเทศ ออกมาตรการดึงต่างชาติลงทุนประเทศไทย เชื่อไตรมาส 4/65 ตลาดท่องเที่ยวเร่ิมฟื้นตัว เผยแผนปีนี้เตรียมรุกตลาดกทม.เล็งผุดแนวราบระดับซูเปอร์ลักชัวรีย่าน CBD ด้านตลาดคอนโดฯหัวหินมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากอานิสงส์เมกะโปรเจกต์ภาครัฐ ล่าสุดเปิดตัวโครงการ “เวหา”มูลค่าโครงการ 2,290 ล้านบาท พร้อมพรีเซลไตรมาส 3/65 คาดถึงปลายปียอดขายพุ่ง 50%

นางสาวพราวพุทธ ลิปตพัลลภ กรรมการ บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด(มหาชน) หรือPROUD เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เร่ิมคลี่คลาย และภาครัฐมีการประกาศเปิดประเทศ ก็จะทำให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว จะทำให้ชาวต่างประเทศกลับมาท่องเที่ยวและลงทุนในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น โดยบริษัทฯเองยังคงเน้นไปที่การพัฒนาที่อยู่อาศัยเป็นหลัก ซึ่งได้มีการศึกษาการพัฒนาในทำเลที่มีศักยภาพต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯที่อยู่ในเมือง และต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ปีละประมาณ 1-2 โครงการ หากเป็นการพัฒนาในรูปแบบของคอนโดมิเนียม ก็จะมีมูลค่าตั้งแต่ 2,000 ล้านบาทขึ้นไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดที่ดินที่ได้มา

อย่างไรก็ตามในเรื่องภาพรวมเศรษฐกิจก็ต้องระวังการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยด้วย เพราะอาจทำให้ประชาชนมีสภาพคล่องทางการเงินที่ลดลง แต่สำหรับลูกค้าของบริษัทฯแล้วส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบในเรื่องดังกล่าว แต่ก็อยากฝากให้ภาครัฐ หากมาตรการในการดึงดูดให้ชาวต่างประเทศเข้ามาลงทุนในกรุงเทพฯและจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยวมากขึ้นโดยเชื่อว่าในไตรมาส 4/2565 นี้ตลาดท่องเที่ยวจะฟื้นตัวมากขึ้น

โดยในปี 2565 นี้บริษัทฯมีแผนที่จะรุกกลับเข้ามาพัฒนาโครงการแนวราบในย่านใจกลางเมือง(CBD)ของกรุงเทพฯด้วย แม้ว่าจะมีที่ดินสะสมอยู่บางแปลงแล้ว แต่ก็ยังมองหาที่ดินที่เหมาะสมและมีศักยภาพเพิ่มเติม โดยโครงการที่พัฒนาจะเป็นระดับซูเปอร์ลักชัวรี และไม่เคยมีผู้ประกอบการรายใดเคยพัฒนาอย่างแน่นอน และเน้นกลุ่มเรียลดีมานด์เป็นหลัก ขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูล จึงยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้

มองว่ากรุงเทพฯยังคงมีศักยภาพที่ดีในการพัฒนาที่อยู่อาศัย และดีมานด์มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยทำเลในเมืองยังคงเป็นทำเลที่คนสนใจในการเลือกมองหาที่อยู่อาศัย และเป็นจังหวะที่ดีในการที่บริษัทจะเข้าไปพัฒนาโครงการในกรุงเทพฯ หลังจากประสบความสำเร็จจากการพัฒนาคอนโดมิเนียมโฟกัส เพลินจิต” (Focus Ploenchit) ไปก่อนหน้านี้นางสาวพราวพุทธกล่าว

นางสาวพราวพุทธ กล่าวต่อไปว่า สำหรับตลาดอสังหาฯในหัวหิน .ประจวบคีรีขันธ์ นั้น แม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่ตลาดหัวหินถือว่าได้รับผลกระทบน้อย เพราะมีนักท่องเที่ยวและผู้ที่ซื้อที่อยู่อาศัยเป็นบ้านหลังที่สอง ย้ายเข้ามาพักในหัวหินเป็นจำนวนมาก และพบว่ามีความต้องการบ้านหลังที่สองอีกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียมในเมืองหัวหินยังมีโอกาสเติบโต ด้วยศักยภาพของเมืองที่มีเสน่ห์และมีความพร้อมในทุกๆ ด้าน อีกทั้งอยู่ในพื้นที่ที่เป็นแนวทางพัฒนาการท่องเที่ยวในเขตทะเลฝั่งตะวันตกในโครงการ “Thailand Riviera” เพื่อยกระดับเมืองท่องเที่ยวชายทะเล  สู่ระดับโลกครอบคลุมตั้งแต่ .เพชรบุรี, .ประจวบคีรีขันธ์, .ชุมพร และ .ระนอง รวมถึงจาก Mega Project ของรัฐบาล อาทิ รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ สนามบิน และทางด่วนส่วนขยาย อีกทั้งแผนพัฒนาโครงข่ายการคมนาคม อาทิ

การเดินทางโดยเครื่องบิน ปัจจุบันมีแผนขยายสนามบินเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกและความร่วมมือกับ Phoenix Group เพื่อเตรียมพัฒนาสนามบินหัวหินสู่สนามบินนานาชาติหัวหิน โดยในเดือนกรกฎาคม 2565 จะมีการเพิ่มไฟล์ทบินตรงจากภูเก็ต และนำเส้นทางบินจากเชียงใหม่กับกัวลาลัมเปอร์กลับมาอีกครั้ง

การเดินทางโดยรถยนต์ บนถนนพระราม 2 กำลังขยายเพิ่มเป็น 14 เลน ซึ่งตอนนี้เสร็จแล้ว 8 เลน และทางด่วนยกระดับคู่ขนานมอเตอร์เวย์นครปฐมและชะอำที่มีแผนเสร็จสิ้นในปี 2568

การเดินทางโดยรถไฟ มีแผนพัฒนารถไฟทางคู่และรถไฟไฮสปีดอย่างต่อเนื่องที่จะช่วยลดเวลาการเดินทางให้จากกรุงเทพฯ มาหัวหินใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น

ล่าสุดบริษัทฯได้เปิดตัวโครงการเวหา ซึ่งพัฒนาบนที่ดินสะสมของครอบครัวติดกับโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ รีสอร์ท วานา นาวา หัวหินบนที่ดินทั้งหมด 5 ไร่เศษ  พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมจำนวน 1 อาคาร สูง 31 ชั้น ขนาดตั้งแต่ 28-349 ตารางเมตร ราคาเร่ิมต้นที่ 3.19-50 ล้านบาทหรือราคาขายเฉลี่ยประมาณ 135,000 บาท/ตารางเมตร จำนวน 364 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,290 ล้านบาท โดยชูจุดเด่นการที่ทุกห้องจะหันหน้าเข้าหาวิวทะเลทั้งหมด บนทำเลที่มีศักยภาพ และราคาขายที่มีความคุ้มค่ากว่าโครงการอื่นๆในพื้นที่ใกล้เคียงที่มีวิวหันเข้าหาทะเล ที่มีราคาขายเฉลี่ยสูงกว่า 275,000 บาท/ตารางเมตร ซึ่งจะเริ่มเปิดขายในช่วงเดือนกรกฎาคม 2565 ซึ่งบริษัทได้ตั้งเป้ายอดขายโครงการดังกล่าวภายในสิ้นปีนี้ไว้ที่ 40-50% โดยมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าชาวไทยเป็นหลัก ในสัดส่วน 80% และชาวต่างชาติ 20% ได้แก่ รัสเซีย ซึ่งขณะนี้ถือว่าเป็นลูกค้ากลุ่มหลัก ขณะนี้มีสัดส่วนประมาณ 5% ที่มาซื้อโครงการ และยิ่งเกิดสงครามการสู้รบระหว่างรัสเซียยูเครน ก็ยิ่งทำให้ชาวรัสเซียมีความพยายามที่จะนำเงินออกมาลงทุนนอกประเทศมากขึ้น และประเทศไทย โดยเฉพาะหัวหินก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกเช่นกัน รองลงมาจะเป็นกลุ่มประเทศแถบสแกนดิเนเวีย และกลุ่มไต้หวัน,สิงคโปร์ ที่มาทดแทนลูกค้าชาวจีนที่ยังปิดประเทศอยู่   และคาดว่าในช่วงปลายปีนี้หากจีน เปิดประเทศ ก็จะมีกลุ่มลูกค้าชาวจีนที่เข้ามาซื้อเพิ่มเติม ด้านการก่อสร้างจะเริ่มดำเนินการในไตรมาส 4/2565 และคาดว่าก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มทยอยโอนในช่วงไตรมาส 1/2568 หรือไตรมาส 2/2568

เราวางกลุ่มเป้าหมายของเวหาเป็นกลุ่มครอบครัวตั้งแต่คู่ที่เพิ่งแต่งงานไปจนถึงครอบครัวขนาดใหญ่ รวมถึงชาวต่างชาติที่เกษียณอายุการทำงานและอยากเข้ามาอยู่ในเมืองไทยในราคาที่จับต้องได้เฉลี่ยประมาณ 132,000 บาท/ตารางเมตร ทั้งนี้อ้างอิงข้อมูลผลวิจัยจากบริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์(ประเทศไทย) จำกัด พบว่าราคาเสนอขายเฉลี่ยคอนโดฯ วิวทะเลมีแนวโน้มเติบโตขึ้นมากกว่าห้องไม่ติดทะเล ปัจจุบันห้องไม่ติดวิวทะเลมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 70,700 บาท/ตารางเมตร ,ห้องวิวทะเลราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 141,670 บาท/ตารางเมตร และตลอดเวลา 5 ปีที่ผ่านมา กลุ่มที่พักอาศัยไม่มีวิวทะเลจะอยู่ที่ราคาต่ำกว่า 100,000 บาท/ตารางเมตร ส่วนกลุ่มที่พักอาศัยระดับลักชัวรีติดชายหาดมีราคาประมาณ 130,000 บาท/ตารางเมตร หรือสูงกว่าและกลุ่มSuper Rare Item ที่หันหน้าเข้าหาวิวทะเลโดยตรงมีราคาเฉลี่ยสูงมากกว่า 275,000 บาท/ตารางเมตร  ส่วนราคาที่ดินเปล่าหากอยู่ติดทะเล ปัจจุบันพุ่งสูงไปที่ประมาณ 150 ล้านบาท/ไร่ ส่วนที่ดินไม่ติดทะเล ราคาเร่ิมต้นตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป จึงมองว่าราคาขายของเวหามีความคุ้มค่าเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับทำเลที่ตั้งนางสาวพราวพุทธ กล่าว

นางสาวพราวพุทธ กล่าวเพิ่มเติมว่า มองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในหัวหินมองว่ายังมีศักยภาพอยู่มาก เนื่องจากที่อยู่อาศัยในหัวหินใกล้กับเมืองหัวหินนั้นมีปริมาณซัพพลายอยู่น้อยมาก และในช่วงที่ผ่านมาแทบไม่มีการเปิดโครงการใหม่ออกมา ต่างจากโซนที่ไกลออกไป เช่น ทำเลโซนชะอำ ที่มีปริมาณซัพพลายอยู่ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม และทำเลโซนที่ใกล้เมืองหัวหินถือว่ายังมีศักยภาพมาก เพราะเป็นทำเลที่มีสิ่งอำนวยความสะดวก และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆรายล้อม ทำให้เป็นทำเลที่มีความน่าสนใจเหมาะแก่เลือกเป็นที่อยู่อาศัยตากอากาศหรือบ้านหลังที่สอง ทำให้บริษัทฯมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า       

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้มองว่าจะมีการฟื้นตัวขึ้น จากการที่มีรายได้เข้ามาจากการโอนโครงการ Intercontinental Residences Huahin มูลค่ากว่า 3,600 ล้านบาท ซึ่งมียอดขาย 95% และเริ่มทยอยโอนเข้ามาแล้วตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็นรายได้หลักเข้ามาให้กับบริษัทในปีนี้ ทำให้ผลการดำเนินงานในปี 2565 มีการฟื้นตัวขึ้น

เราพยายามมองหาโอกาสใหม่ๆในการลงทุนพัฒนาโครงการ เพื่อทำให้รายได้เรามีเข้ามาต่อเนื่อง ซึ่งทำเลใดก็ตามที่มีศักยภาพเราก็สนใจเข้าไปพัฒนาทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เพื่อทำให้ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า บริษัทจะกลับมามีกำไรที่แข็งแกร่งต่อเนื่องได้นางสาวพราวพุทธกล่าวในที่สุด

toppercool

CEO,Prop2morrow Blogger อสังหาฯ , นักการตลาดดิจิตัล สาย Content marketing