ในปี 2565นี้ กลุ่มแสนสิริจะกลับมาทวงความเป็นหนึ่งในผู้นำของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการประกาศรุกตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างหนักทั้งการเปิดตัวโครงการใหม่ที่มีมูลค่าโครงการรวมสูงถึง 52,275 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้ายอดขายและรายได้ปีนี้ไว้ที่ตัวเลขเดียวกันคือ 35,000 ล้านบาท ดำเนินงานผ่านกลยุทธ “STEP BEYOND” หรือการเติบโตที่ยั่งยืนทุกมิติ ที่ขับเคลื่อนองค์กรด้วย 3 กุญแจสำคัญ คือ PROFIT – PEOPLE – PLANET
ประเดิมด้วยผลงาน PROFIT ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา กวาดยอดขายรวมไปได้ถึง 18,300 ล้านบาท คิดเป็น 52% จากเป้าหมายยอดขายปีนี้ 35,000 ล้านบาท โดยเฉพาะในไตรมาส 2 บริษัทมียอดขายสูงถึง 11,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% จากไตรมาสแรกที่มียอดขาย 7,200 ล้านบาท โดยยอดขายหลักมาจากสินค้าบ้านแนวราบถึง 12,700 ล้านบาท ส่วนคอนโดมิเนียมทำยอดขายได้ 5,600 ล้านบาท พร้อมกับการเปิดตัวโครงการใหม่รวม 15 โครงการ มูลค่ารวม 18,800 ล้านบาท
ส่วนแผนงานในช่วงครึ่งหลังปีนี้ กลุ่มแสนสิริได้ประกาศกลยุทธ์ Speed to Market #2 มองตลาดเร็วและพร้อมปรับตัวไวเพื่อรองรับกับทุกสถานการณ์และตั้งรับกับตลาดอสังหาฯที่เริ่มฟื้นตัว และดีมานต์ลูกค้าต่างชาติที่เริ่มกลับเข้ามาในตลาด หลังจากรัฐบาลประกาศเปิดประเทศเต็มรูปแบบ
โดยตั้งเป้าครองแชมป์แบรนด์อสังหาฯ อันดับ 1 ในใจของลูกค้า ผู้นำตลาดบ้านระดับลักซ์ชัวรี่ รวมถึงการกลับมาเป็นผู้นำในตลาดคอนโดมิเนียม การบริการหลังการขาย และการคืนประโยชน์สู่สังคม
นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ แสนสิริยังคงนโยบายก้าวเร็วนำหน้าคู่แข่ง ด้วยกลยุทธ์ “Speed to Market #2” ประกอบด้วย การเปิดตัวโครงการใหม่รวม 31 โครงการ มูลค่าโครงการ 31,200 ล้านบาท โดยโครงการแฟล็กชิพในกลุ่มสินค้าบ้านแนวราบในปีนี้ คือ แบรนด์นาราสิริ บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ ซึ่งได้กลับมาเปิดตัวอีกครั้งในรอบ 10ปี เตรียมเปิดตัว 2 โครงการใหม่ คือ โครงการนาราสิริ พหลฯ – วัชรพล และโครงการนาราสิริ กรุงเทพกรีฑา มูลค่าโครงการกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งวางแผนจะเปิดพรีเซลในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ แต่ช่วง 1เดือนที่ผ่านมาได้เปิดให้กลุ่มลูกค้า VIP จองล่วงหน้า สามารถทำยอดขายได้แล้วประมาณ 3,000 ล้านบาท
นอกจากนี้แสนสิริยังตอกย้ำความเป็นผู้นำแบรนด์บ้านเดี่ยวระดับบน แบรนด์เศรษฐสิริและ บุราสิริระดับราคา 8 – 20 ล้านบาท ที่ทำยอดขายได้สูงถึง 4,800 ล้านบาทในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา โดยในช่วงครึ่งปีหลังนี้ แสนสิริเตรียมเปิดตัว “เศรษฐสิริ ดอนเมือง” บนที่ดินขนาด 79 ไร่ มูลค่าโครงการ 4,300 ล้านบาท และโครงการบุราสิริ กรุงเทพกรีฑา ขนาดที่ดิน 85 ไร่ มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท รวมถึงการเปิดตัวบ้านแบรนด์ใหม่ “บูก้าน กรุงเทพกรีฑา” บนพื้นที่ 19 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท ในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้
ส่วนกลุ่มสินค้าแนวสูง ที่กลุ่มแสนสิริมีความชำนาญและมีฐานลูกค้าที่กว้างทั้งกลุ่มลูกค้าคนไทย นักลงทุน และชาวต่างชาติ ในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะเปิดตัวโครงการใหม่ถึง 15 โครงการ มูลค่า 5,250 ล้านบาท ภายใต้ 3 แบรนด์สินค้าหลักคือ “เดอะ เบส” โดยในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้จะเปิดตัวโครงการ “เดอะ เบส ริเวอร์วิว” ย่านเจริญนคร ใช้เวลาเดินทางถึงไอคอนสยามประมาณ 5 นาทีและเพียง 400 เมตรจากรถไฟฟ้า BTS สถานีคลองสาน
รวมทั้งจะเปิดตัวคอนโดฯในกลุ่ม Affordable Condominium แบรนด์เดอะ มูฟ และคอนโด มี โดยเฉพาะแบรนด์คอนโด มี จะเปิดตัวโครงการเพิ่ม 4 โครงการ 4 ทำเล ล่าสุดได้เปิดพรีเซลล์ไปแล้ว 3 โครงการ คือ โครงการคอนโด มี บางนา-บางบ่อ ปิดการขายไปหมดแล้ว,คอนโด มี อ่อนนุช-พระราม 9 มียอดขายแล้ว 90% และคอนโด มี นวนคร เฟสใหม่ ส่วนอีกโครงการคือ โครงการคอนโด มี สินสาคร
ขณะเดียวกันยังเตรียมส่งมอบโครงการคอนโดฯสร้างเสร็จให้กับลูกค้าอีก 4 โครงการ คือ คอนโด มี นวนคร เฟส2, เดอะ เบส เพชรบุรีทองหล่อ, XT พญาไท ที่เตรียมโอนในเดือนตุลาคมนี้ และเดอะ มูฟ เกษตร จะเริ่มโอนในเดือนธันวาคม โดยตั้งเป้ายอดโอนของทั้ง 4 โครงการไว้ที่ 12,000 ล้านบาท