“ผู้ว่าฯ ชัชชาติ”เปิดสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียวยันความโปร่งใสของกทม.

You are currently viewing “ผู้ว่าฯ ชัชชาติ”เปิดสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียวยันความโปร่งใสของกทม.

ผู้ว่าฯ กทม.แจงทุกขั้นตอนการเดินหน้ารถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่1 และ 2 พร้อมเผยแพร่สัญญาและภาระหนี้ระหว่างกทม.กับกรุงเทพธนาคมให้ประชาชนตรวจสอบเพื่อยืนยันความโปร่งใส

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหารถไฟฟ้าสายสีเขียวว่า ปัจจุบัน กทม. เป็นคู่สัญญากับกรุงเทพธนาคม และกรุงเทพธนาคมได้จ้างบริษัทเอกชนเดินรถ ซึ่งมีอยู่ 3 ส่วน คือ ส่วนไข่แดงหรือเส้นทางสายหลัก หมอชิต-อ่อนนุช และสนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน ซึ่ง กทม.ให้บริษัทเอกชนสัมปทานและนำไปขายต่อให้กองทุนถึงปี 2572 ส่วนปี 2572 -2585 มีการว่าจ้างกรุงเทพธนาคมให้บริหารต่อ แล้วกรุงเทพธนาคมจ้างบริษัทบีทีเอสเดินรถต่อ

ส่วนต่อขยายที่ 1 อ่อนุช-แบริ่งและตากสิน – บางหว้า กทม.ได้ว่าจ้างกรุงเทพธนาคม และกรุงเทพธนาคมไปว่าจ้างบีทีเอสบริหารต่อ  และส่วนต่อขยายที่ 2 แบริ่ง – เคหะสมุทรปราการ และหมอชิต – สะพานใหม่-คูคต สัญญาเดิม คือ กทม.มอบหมายให้กรุงเทพธนาคมบริหารจัดการ รวมทั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกล หลังจากนั้นกรุงเทพธนาคมได้ว่าจ้างบริษัทเอกชนดำเนินการต่อ

ดังนั้นภาระหนี้ต่าง ๆ จึงเป็นหนี้ระหว่างกทม.กับกรุงเทพธนาคม และกรุงเทพธนาคมมีภาระหนี้กับเอกชน โดยกทม.ได้ว่าจ้างและมอบหมายให้บริษัทดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวใน 2 สัญญาคือ สัญญาที่กทม. ได้ว่าจ้างบริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด เป็นผู้บริหารระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร ระยะเวลารวม 30 ปี  โดยได้ลงนามไปเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2555  หรือสัญญาโครงการรถไฟฟ้าบีทีเอสส่วนต่อขยายที่ 1 ประกอบด้วย ส่วนต่อขยายสายสีลมระยะทาง 2.2 กิโลเมตร (สถานีสะพานตากสิน-วงเวียนใหญ่)

ส่วนต่อขยายสายสุขุมวิทระยะยทาง 5.25 กิโลเมตร (สถานีอ่อนนุช-แบริ่ง) ส่วนต่อขยายสายสีลมระยะทาง 5.3 กิโลเมตร (สถานีวงเวียนใหญ่-บางหว้า) และการเดินรถหลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทานจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2572 ไปถึงวันที่ 2 พฤษภาคม 2585

“ส่วนต่อขยายที่ 1 เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2555 ได้มีการบรรจุโครงการนี้ในข้อบัญญัติ กทม. คือผ่านสภากทม.เรียบร้อย มีรายละเอียดโครงการชัดเจนว่าจะสร้างเมื่อไหร่ ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ หลังจากนั้นวันที่ 2 พฤษภาคมปีเดียวกันได้ลงนามสัญญาจ้างกับกรุงเทพธนาคม และวันที่ 3 พฤษภาคมกรุงเทพธนาคมก็ได้ทำสัญญากับเอกชน ซึ่งวันนี้ได้มีการเผยแพร่ในเว็บไซต์กทม. แล้วโดยกรุงเทพธนาคมได้มีหนังสืออนุญาตให้ กทม. เปิดสัญญาแล้ว แต่ระหว่างกรุงเทพธนาคมกับเอกชน ยังเปิดเผยสัญญาไม่ได้ เพราะติดในเรื่องพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540

โดยในวันนี้ ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ ประธานคณะกรรมการ บริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด และผศ.ประแสง มงคลศิริ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด ได้ลงนามความเห็นชอบในการเปิดเผยข้อมูลไว้ในสัญญาและบันทึกข้อตกลงดังกล่าว โดยระบุในหนังสือว่า “บริษัทเห็นว่าสัญญาฉบับดังกล่าวเป็นสัญญาจ้างบริหารระบบขนส่งมวลชน อันเป็นการให้บริการสาธารณะแก่ประชาชน และด้วยหลักธรรมาภิบาลของบริษัทที่ยึดถือความโปร่งใส ตรวจสอบได้ บริษัทจึงเห็นว่า กรณีมีเหตุอันสมควรเปิดเผยข้อมูลในบันทึกข้อตกลงฉบับนี้ต่อสาธารณะได้ ด้วยหนังสือฉบับนี้ บริษัทในฐานะคู่สัญญาขอแสดงความเห็นชอบในการเปิดเผยข้อมูลในบันทึกข้อตกลงฉบับดังกล่าวมายังกรุงเทพมหานคร เพื่อดำเนินการตามที่เห็นสมควรต่อไป”

ส่วนสัญญาส่วนต่อขยายที่ 2 กรุงเทพธนาคมกับบีทีเอสได้มีการลงนามซื้อขายระบบไฟฟ้าเครื่องกลในวันที่ 28 มิถุนายน 2559 มูลค่าประมาณ 19,000 ล้านบาท โดยสำนักการจราจรและขนส่งได้มอบหมายให้กรุงเทพธนาคมไปดำเนินการ และผู้ว่าฯ กทม. ในขณะนั้น ได้มอบหมายให้กรุงเทพธนาคมดำเนินการในเรื่องนี้ แต่กระบวนการนี้ยังไม่ผ่านการพิจารณาของสภากทม.

ต่อมาวันที่ 28 กรกฎาคม 2559 ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลง โดยกทม.ได้มอบหมายหน้าที่ในการดำเนินกิจการขนส่งมวลชนให้แก่บริษัท ตามบันทึกข้อตกลงการมอบหมายกิจการในอำนาจหน้าที่ของกทม. โครงการระบบขนส่งมวลชนสายสีเขียวช่วงหมอชิต – สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ หรือบันทึกข้อตกลงมอบหมายงานโครงการรถไฟฟ้าบีทีเอสในส่วนต่อขยายที่ 2 เพื่อให้การดำเนินกิจการขนส่งมวลชนสาธารณะแก่ประชาชน

นายชัชชาติกล่าวว่า ข้อแตกต่างที่สำคัญคือ สัญญาส่วนต่อขยายช่วงที่ 1 เป็นสัญญาจ้างบริหารโครงการ แต่สัญญาส่วนที่ 2 เป็นบันทึกมอบหมายให้เดินรถ ซึ่งในบันทึกมอบหมายไม่มีรายละเอียดเรื่องค่าจ้าง เป็นเหมือนตัวเลขคร่าว ๆ จากนั้นวันที่ 1 สิงหาคม 2559 กรุงเทพธนาคมก็ได้ลงนามกับบริษัทเอกชนจ้างเดินรถ

ข้อแตกต่างระหว่าง 2 ส่วนนี้ คือ ส่วนต่อขยายที่ 2 ไม่มีการบรรจุอยู่ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีของกทม. ดังนั้นสภากทม. จะไม่ทราบเรื่อง ซึ่งถ้าหากกทม.เอาเงินไปจ่ายค่าเดินรถ ก็จะต้องอยู่ในงบประมาณของกทม. ทำให้ไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภา เพราะโครงการส่วนต่อขยายที่ 2 ยังไม่ได้ผ่านสภากทม. ขณะที่ส่วนต่อขยายที่ 1 มีสัญญาชัดเจนว่าจ้างเท่าไหร่ มีกรอบวงเงินเท่าไหร่ แต่ส่วนต่อขยายที่ 2 เป็นเพียงบันทึกข้อตกลงเท่านั้น ไม่ได้ระบุวงเงินงบประมาณ มีเพียงประมาณการรายรับรายจ่ายคร่าว ๆ  อยู่ในสัญญาระหว่าง กทม.กับกรุงเทพธนาคม”

ปัจจุบันกรุงเทพธนาคมจะเก็บหนี้กับกทม. คือ ส่วนต่อขยายที่ 1 จำนวน 3,800 ล้านบาท (ปี2562-2565) ส่วนต่อขยายที่ 2 (ปี 2560-2565) ประมาณ 1,700 ล้านบาท และปี 2560 – 2565 ช่วงแบริ่ง  วงเงิน7,565 ล้านบาท รวม 17,509 ล้านบาท  นอกจากนี้ยังมีงานซื้อขายพร้อมติดตั้งระบบเดินรถจำนวน 17,849 ล้านบาท รวมทั้งหมด 35,459 ล้านบาท

แต่ขณะนี้ในช่วงที่ 1 กทม. ยังไม่ได้จ่ายเงินให้กับกรุงเทพธนาคม เพราะเป็นกระบวนการตาม ม. 44 ให้เจรจาขยายสัมปทานไปถึงปี 2562 โดยที่ประชุมกรรมการตกลงกันแล้วว่าเป็นกระบวนการที่อยู่ในการเจราจาเรื่องสัมปทานที่อยู่ใน ครม.และยังไม่ได้ข้อยุติ เช่นเดียวกับส่วนต่อขยายก็อยู่ระหว่างการเจรจาด้วยเช่นกัน เนื่องจากสภากทม. จะต้องเป็นผู้อนุมัติการใช้จ่าย กทม.ไม่สามารถเอาเงินไปใช้จ่ายได้โดยไม่ผ่านงบประมาณ

ดังนั้นตามกระบวนการกฎหมาย สิ่งที่ต้องคิดคือ ค่าแรกเข้าระบบหรือค่าบริหารสถานี ซึ่งส่วนต่อขยายที่ 2 จะเริ่มเก็บเงินได้ ต้องมีรปภ. และระบบอ่านตั๋วก่อนเข้า แม้จะเข้าสถานีเดียวก็ต้องเสีย 15-16 บาท ขณะนี้ได้มอบหมายให้กรุงเทพธนาคมไปเจรจา เพราะในสัญญาไม่มีการระบุเรื่องสัญญาแรกเข้า แต่ระบุว่าเก็บเงินครั้งแรกได้ไม่เกิน 15 บาท

ทั้งนี้คณะรัฐมตรีได้มีหนังสือสอบถามความคิดเห็นมายังกทม. แล้ว แต่คงต้องรอการประชุมร่วมกับสภา กทม.ก่อน ขณะเดียวกันกทม.ต้องการขอสนับสนุนจากรัฐบาลในเรื่องของการลงทุนด้านงานโยธา ซึ่งมหาดไทยได้แจ้งให้กทม.ต้องนำเรื่องนี้เข้าสภากทม. ก่อน

สำหรับปัญหาในส่วนต่อขยายที่ 2 ต้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบบันทึกข้อตกลงว่าทำไมไม่ทำสัญญาเหมือนกับส่วนต่อขยายที่ 1 เพราะไม่มีงวดจ่ายเงินที่ชัดเจน รวมถึงประเด็นเรื่องค่าแรกเข้าที่ต้องมีการหารือเพิ่มเติมเพราะประชาชนไม่สามารถจ่ายค่าแรกเข้า 2 ครั้งได้ ทั้งนี้สำนักการจราจรและขนส่งต้องไปเจราจากับกรุงเทพธนาคมเพื่อหาทางออกร่วมกัน