ซีวิลเอนจีเนียริงฯ เผยทิศทางธุรกิจครึ่งปีหลัง 65 ชูกลยุทธ์บริหารงานก่อสร้าง–จัดการต้นทุน ส่งมอบงานตามแผน ทำกำไรต่อเนื่อง พร้อมเจรจาพันธมิตรสร้าง New S-Curve ธุรกิจเหมืองหินเดินหน้าเต็มกำลัง เร่งประมูลงานภาครัฐและเอกชน ดัน Backlog 15,000 – 20,000 ล้านบาทมั่นใจรายได้รวมทั้งปีเติบโตตามเป้าหมาย 6,000-6,500 ล้านบาท
นายปิยะดิษฐ์ อัศวศิริสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ซีวิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือCIVIL ผู้นำด้านวิศวกรรมโยธาที่ใช้เทคโนโลยีก่อสร้างแบบครบวงจรชั้นนำของไทย เปิดเผยว่า ภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างยังคงได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากสถานการณ์วิกฤติซ้อนวิกฤติ ทั้งในด้านการแพร่ระบาดของโควิด-19 แรงงานก่อสร้างขาดแคลน สงครามรัสเซีย-ยูเครน การเพิ่มขึ้นของราคาต้นทุนวัสดุก่อสร้าง และปัญหาเงินเฟ้อ ส่งผลให้หลายบริษัทในอุตสาหกรรมเริ่มประสบปัญหา อย่างไรก็ตามบริษัทมีการปรับกลยุทธ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในโครงการก่อสร้าง และการจัดการต้นทุนก่อสร้างให้สอดรับกับสถานการณ์ แม้ผลการดำเนินงานอาจมีแนวโน้มชะลอตัวเล็กน้อยเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจและปัจจัยเสี่ยงที่กระทบอุตสาหกรรม แต่บริษัทยังคงสามารถดำเนินการก่อสร้างและส่งมอบงานได้ตามแผน อีกทั้งยังสามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง
โดยในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้มีการปรับตัวรับวิกฤติในหลายเรื่อง อาทิ การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารโครงการก่อสร้าง,การเร่งรัดงานโครงการก่อสร้าง,การขอความร่วมมือจากภาครัฐและผู้ว่าจ้าง ทั้งเรื่องการขอขยายอายุสัญญาโครงการ(สำเร็จแล้ว)และการเสนอให้พิจารณายกเลิกเพดานค่า Escalation Factor (K) ที่กำหนด + -4%,โอกาสที่ภาครัฐอยากให้เอกชนร่วมลงทุน (PPP) ,งานเอกชนอื่นๆที่ CIVIL เตรียมหาเพิ่มเติม และการหาโอกาสในธุรกิจใหม่ของCIVIL
สำหรับทิศทางธุรกิจช่วงครึ่งปีหลัง 2565 บริษัทยังคงมุ่งเน้นบริหารงานพร้อมทั้งรับรู้รายได้จากงานในมืออย่างต่อเนื่อง พร้อมพัฒนาการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ควบคู่กับการจัดการต้นทุนทั้งด้านวัสดุและแรงงาน เพื่อเพิ่มศักยภาพดำเนินงานก่อสร้างให้ได้เกินกว่าแผนงานและส่งมอบงานได้ตามกรอบระยะเวลา อีกทั้งสามารถรักษาอัตรากำไรของบริษัทให้อยู่ในระดับดี รวมถึงวางแผนลงทุนในเครื่องจักรที่ทันสมัยเพื่อเสริมศักยภาพการก่อสร้าง รองรับงานที่คาดว่าจะเข้ามาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรหลายรายที่จะช่วยสร้าง New S-Curve ต่อยอดการเติบโตธุรกิจในอนาคต
ขณะที่ธุรกิจเหมืองหินจังหวัดสระบุรี ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท ซีวิล คอนสตรัคชั่นเซอร์วิส แอนด์ โปรดักส์ จำกัด (บริษัทย่อย) ได้เปิดให้บริการเต็มกำลังการผลิตเรียบร้อยแล้วส่งผลให้ต้นทุนวัสดุก่อสร้างของบริษัทลดลงจากการนำหินมาใช้ในโครงการก่อสร้างของCIVIL อีกทั้งแหล่งวัตถุดิบตั้งอยู่ใกล้โครงการก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ซึ่งจะทำให้สามารถดำเนินการผลิตได้เต็มที่ตลอดครึ่งปีหลัง 2565 โดยจะช่วยลดความผันผวนด้านวัสดุก่อสร้างและปริมาณของ Supply ได้ นอกจากนี้ยังมีรายได้จากการจำหน่ายหินให้กับบริษัทอื่นๆในอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยสร้างการเติบโตของกำไรให้กับบริษัท โดยคาดว่าจะทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มจากธุรกิจเหมืองหิน 10 ล้านบาท/เดือน
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนการเข้าประมูลโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐที่กำลังจะเปิดการประมูลในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 อาทิ งานก่อสร้างทางหลวงและทางพิเศษ, งานเขื่อนและระบบน้ำ, งานก่อสร้างและปรับปรุงสนามบิน, งานก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูง มูลค่ารวมกว่า17,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนเตรียมเข้าประมูลงานภาคเอกชน เพื่อเพิ่มโอกาสการรับงานที่หลากหลาย ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้มูลค่างานในมือ (Backlog) ของบริษัทเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ระดับ 15,000 – 20,000 ล้านบาท
“สิ่งที่ทำให้ CIVIL มีความแตกต่างคือการจัดการต้นทุนที่ดี และการบริหารโครงการก่อสร้างที่มีคุณภาพ คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก และดำเนินงานด้วยความรวดเร็วกว่าแผน อีกทั้งมุ่งมั่นเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ที่แม้สถานการณ์เศรษฐกิจยังไม่แน่นอน แต่โครงการภาครัฐยังคงเดินหน้าและมีแผนการเปิดประมูลที่ชัดเจน ซึ่งนั่นหมายถึงโอกาสการขยายศักยภาพของบริษัทที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และจากแผนการดำเนินงานทั้งหมด คาดว่าจะสามารถสร้างการเติบโตของรายได้ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 20-30% หรือที่ 6,000-6,500 ล้านบาท” นายปิยะดิษฐ์ กล่าว
ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนงานก่อสร้างแบ่งเป็น งานก่อสร้างทางรถไฟและทางรถไฟความเร็วสูง46%, งานทาง 41%, งานก่อสร้างสนามบิน 2%, งานเขื่อนและระบบน้ำ 1% และงานประเภทอื่นๆ10% โดยงานก่อสร้างโครงการใหม่ในขณะนี้ ได้แก่
-งานกรมทางหลวง/การทางพิเศษ ประมาณ 2,600-2,800 ล้านบาท เช่น งานพัฒนาคูน้ำริมถนนวิภาวดีรังสิต ประมาณ 800 ล้านบาท
-งานกรมชลประทาน ประมาณ 1,000-3,000 ล้านบาท
-งานท่าอากาศยาน ประมาณ 1,200 ล้านบาท
-งานรถไฟฟ้าความเร็วสูงไทย-จีน สัญญา 4-5 ประมาณ 8,000-10,000 ล้านบาท
-งาน PPP และงานภาคเอกชนอื่นๆ