เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่งฯมั่นใจแผนรุกเปิดตัวโครงการปี 65 อาจขยายได้มากกว่าเป้าที่วางไว้ 5 โครงการ รวมมูลค่า 4,500 ล้านบาท เนื่องจากภาพรวมส่งสัญญาณบวกท่ามกลางปัจจัยลบ แต่พร้อมปรับตัวรับมือ ระบุหลังเปิดตัว“บ้านฟ้ากรีนเนอรี่ ธีโอ ปิ่นเกล้า–เพชรเกษม” ในครึ่งปีแรกดีมานด์ตอบรับดี กวาดยอดขายแล้ว 400 ล้านบาท ครึ่งปีกหลังประกาศรุกแนวราบต่อเนื่องควบคู่การขยายธุรกิจ Wellness มั่นใจยอดขาย–รายได้ทั้งปีทะลุเป้า
นายสมนึก ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัทเอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด(มหาชน)หรือ NCH เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯว่าในช่วงปี 2564 ที่ผ่านมา ภาคธุรกิจได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วและแม้ว่าในปี 2565 จะยังมีปัจจัยลบอีกหลายประการ แต่ผู้ประกอบการทุกบริษัท โดยเฉพาะรายใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ต่างก็มีการขยายตัวพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการแนวราบ ที่มีการหันมาพัฒนากันมากในทุกโซนของกรุงเทพฯ ซึ่งเชื่อว่าผู้ประกอบการ สินค้าบางเซกเมนต์ และทำเลที่พัฒนาจะมีการเติบโตขึ้นบ้างในบางส่วน
สำหรับเรื่องหลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปีจาก 0.5% เป็น 0.75% นั้น มองว่าประเทศไทยอาจมีผลกระทบน้อยกว่าต่างประเทศ เพราะธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ไม่ได้มีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่รวดเร็วเหมือนบางประเทศ ซึ่งการดำเนินงานก็เป็นไปตามกลไกของตลาด โดยที่ผ่านมาผู้ประกอบการอสังหาฯหลายรายก็ปรับตัวรับมือได้เป็นอย่างดี
ด้านราคาวัสดุก่อสร้างที่ก่อนหน้านี้ได้มีการปรับขึ้นราคาไปในระดับหนึ่ง ล่าสุดก็เร่ิมมีการปรับราคาลงแล้ว ซึ่งผู้ประกอบการเองก็ต้องปรับตัวหา Innovation ต่างๆมารองรับ เพื่อลดต้นทุนและตอบโจทย์ลูกค้า ที่สามารถซื้อสินค้าได้ในราคาที่ถูกลงและจับต้องได้
สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปีนี้เดิมมีแผนจะเปิดตัวทั้งสิ้น 5 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 4,500 ล้านบาท แต่เนื่องจากสภาวะตลาดที่เริ่มฟื้นตัวและมีสัญญาณบวก ทำให้อาจจะมีการเปิดตัวได้มากกว่าที่วางแผนไว้ โดยในครึ่งปีแรก 2565 ได้เปิดตัวไปแล้ว 1 โครงการ คือ“บ้านฟ้ากรีนเนอรี่ ธีโอ ปิ่นเกล้า–เพชรเกษม” ซึ่งถือเป็นโครงการที่ 8 ของบริษัทฯที่พัฒนาในโซนตะวันตกของกทม. ตั้งอยู่บริเวณถนนพุทธมณฑล สาย 5 บนพื้นที่ 58 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของ บ้านเดี่ยว ขนาดตั้งแต่ 50-56 ตารางวา ราคาขายเร่ิมต้นที่ 7.59-8.7 ล้านบาท ,บ้านแฝดขนาด 38 ตารางวา ราคาเร่ิมต้นที่ 5.5 ล้านบาท ,ทาวน์โฮม ขนาด 20 ตารางวา ราคาเริ่มต้นที่2.99 ล้านบาท และทาวนโฮม อิสระ ขนาด 27.3 ตารางวา ราคาเร่ิมต้นที่ 3.84 ล้านบาท รวม 387 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,771 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 400 ล้านบาท คาดว่าจนถึงสิ้นปี2565 จะสามารถทำยอดขายได้ 800-900 ล้านบาท
“บริเวณโซนพุทธมณฑล สาย 5 ถือว่า เป็นทำเลที่มีการแข่งขันสูง ซึ่งมีทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่ และผู้ประกอบการในพื้นที่เข้ามาพัฒนาเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันดีมานด์ก็ยังมีความต้องการสูงเช่นกัน หากผู้ประกอบการรายใด สามารถดีไซน์สินค้าได้ตอบโจทย์ ก็จะสามารถปิดการขายได้เร็ว โดยปัจจุบันราคาที่ดินในทำเลนี้พุ่งสูงไปอยู่ที่ประมาณ 7-10 กว่าล้านบาท/ไร่” นายสมนึก กล่าว
นายสมนึก กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับอีก 4 โครงการที่เหลือ จะทยอยเปิดตัวในครึ่งปีหลัง 2565 มูลค่าประมาณ 3,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นการพัฒนาในโซนเหนือ,ตะวันออก และตะวันตก ของกทม. แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
ในส่วนของธุรกิจด้าน Wellness ในช่วงครึ่งปีหลัง จะมีการเปิดศูนย์สุขภาพ NC Regent Wellness เพิ่มอีก 1 แห่ง จากปัจจุบันที่เปิดไปแล้ว 2 แห่ง ในย่านรังสิต ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาแผนการเปิด NC Regent เพิ่มขึ้นในอนาคต
อย่างก็ตามบริษัทฯคาดว่ายอดขายในปีนี้จะทะลุเป้าที่ตั้งไว้ที่ 4,600 ล้านบาทเช่นเดียวกัน หลังจากครึ่งปีแรกทำยอดขายได้แล้ว 2,800 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้บริษัทจะรุกขยายโครงการในระดับราคา 3-5 ล้านบาท ซึ่งยังเป็นกลุ่มที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่เองเป็นจำนวนมากในตลาด ทำให้เป็นปัจจัยหนุนต่อการผลักดันยอดขายในปีนี้ให้เติบโตตามเป้าหมายที่วาง ส่วนในไตรมาส 3/2565 บริษัทได้วางเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 1,000 ล้านบาท
ด้านรายได้ของบริษัทฯในปี มั่นใจว่าจะทำได้เกินเป้า 2,500 ล้านบาท ซึ่งมีปัจจัยหนุนมาจากการโอนโครงการแนวราบที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันบริษัทมีมูลัค่ายอดขายรอโอน(Backlog) อยู่ที่ 700-800 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในปีนี้ทั้งหมด ขณะเดียวกันบริษัทได้มีการควบคุมเข้มเรื่องการบริหารต้นทุนในองค์กร และการบริหารจัดการสภาพคล่องอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อทำให้บริษัทยังมีความสามารถในการทำกำไรในระดับที่ดี