ขายบ้านและที่ดินให้ชาวต่างชาติ = “ขายชาติ”

  • Post author:
You are currently viewing ขายบ้านและที่ดินให้ชาวต่างชาติ = “ขายชาติ”
จากกรณีที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนต่างชาติที่มีศักยภาพสูง ให้ได้รับสิทธิครอบครองที่ดินได้ไม่เกิน 1 ไร่ จำนวนเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท ระยะเวลาการลงทุนไม่น้อยกว่า 3 ปีนับจากวันที่ยื่นขอ หากถอนการลงทุนก่อนกำหนดครบระยะเวลาการดำรงทุน หรือก่อนครบ 3 ปี สิทธิที่ได้รับจากที่ดิน 1 ไร่จะต้องระงับไป หลังจากที่ข่าวดังกล่าวมีการเผยแพร่ออกไป ส่งผลให้กลายเป็นประเด็นร้อนในทันทีและเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง จนมีข่าวว่า ครม.ได้มีการหาลือในทางลับ ซึ่งมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่า “ในขั้นตอนนี้ยังปรับเกณฑ์บางอย่างได้ เพื่อให้สังคมเข้าใจและยอมรับ” และมียังแผนที่จะให้มอบหมายให้ตัวแทนของ สมาคมอสังหาริมทรัพย์ออกมาร่วมชี้แจง โดยหลังประชุมครม.จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อรับฟังความคิดเห็นก่อนตรวจร่าง เมื่อร่างเสร็จอาจนำขึ้นรับฟังความคิดเห็นอีกครั้ง หากมีผู้ไม่เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก ก็จะมีการนำเข้าครม.อีกครั้งหนึ่ง
ดร.ประทีป​ ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI ได้เขียนบทความแสดงความคิดเห็นว่า มาตรการส่งเสริมชาวต่างชาติ​เฉพาะกลุ่มให้มีสิทธิ​ซื้อ​บ้าน+ที่ดินไม่เกิน​ 1ไร่​ ในเขตเมือง​ เริ่มร้อนแรง​ มีการถกเถียงกันมาก​ขึ้นๆ​ และระบุว่า​คือ​ “ขายชาติ” เมื่อมีคนค้านมากๆเข้า​ก็มีคนเสนอให้หาทางถอยด้วยการปรับเปลี่ยนจากยอมให้ชาวต่างชาติ“ถือกรรมสิทธิ์”​เป็น​”การเช่าระยะยาว” ไม่เกิน​ 30 ปีแทน เพราะ“การเช่า”จะเรียกว่า “ขาย” ไม่ได้

ส่วนการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้ชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวระยะสั้นนั้น​คนไทยเกือบทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ​ทำให้คนไทยมีงานทำมากขึ้น​มีรายได้ดีขึ้น ขณะเดียวกัน​ คนไทยซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร​  จึงรักผืนแผ่นดินมาก​ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้

ความคิดดังกล่าวข้างต้น​จาก​การขาย  การเช่า​ระยะยาว​  และการท่องเที่ยวระยะสั้น​ 3 กรณี​  ถ้านำมาประมวล​และเปรียบเทียบเป็นตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆ​ จะเป็นดังนี้…

ถ้ามีชาวต่างชาติจะแต่งงานกับ​คนไทยตลอดชีวิต​และคนไทยยอมแต่งด้วย​  จะถูกสรุปว่า​”ขายชาติ”

แต่ถ้าเขาขอแต่งงานด้วยระยะยาวไม่เกิน​30  ปี​จะมีผู้รู้สึกว่า​น่าจะยอมรับได้

แต่ถ้าเขาขอแต่งด้วยไม่กี่วัน​โดยจ่ายค่าตอบแทนตามที่เราต้องการ​  เราก็ถือว่าไม่น่าจะเสียหายอะไร

กระนั้นหรือ?

ถ้าชาวต่างชาติซื้อบ้าน+ที่ดิน ​1 ไร่ ในราคา ​40 ล้านบาท​  จะเทียบเท่านักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาใช้จ่ายคนละ ​50000 บาท​ 800 คน

หรือถ้าซื้อคอนโดราคา​ 10 ล้านบาท จะเทียบเท่านักท่องเที่ยวที่ใช้จ่าย​50,000 บาท​ 200 คน

บางคนคิดว่า​การยินยอมให้ชาวต่างชาติซื้อที่ดินได้​ไม่เกิน​1 ไร่​จะก่อให้เกิดการเก็งกำไร​ทำให้ที่ดินราคาแพงจนคนไทยซื้อไม่ไหว​

ที่จริง​  “การเก็งกำไร” นั้น​ประเทศไทยเราเปิดกว้างมานานแล้ว​ให้ชาวต่างชาติทั่วโลกเข้ามาลงทุน/เก็งกำไร​ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย​โดยยกเว้นการเสียภาษีเงินได้​ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลก​ อนึ่ง​การลงทุนในหุ้นหรือหลักทรัพย์​ ใช้เงินลงทุนเพียงหลักหมื่นก็ทำได้​อีกทั้งสภาพคล่องการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์​ฯก็สูงกว่าและดีกว่าอสังหา​ริมทรัพย์มาก​กล่าวคือ​ ถ้าต้องการขายหลักทรัพย์​จะสามารถขายได้เกือบทุกวัน​แต่ถ้าจะขายที่ดิน​ส่วนใหญ่ต้องใช้เวลาเป็นเดือน

ดังนั้น​ชาวต่างชาติถ้าต้องการเก็งกำไรในประเทศไทย​เขามีทางเลือกที่ดีกว่า ง่ายกว่าการเก็งกำไรที่ดิน​  ก็คือ​ตลาดหลักทรัพย์ฯ​ นั่นเอง​หรืออาจจะหันไปเก็งกำไรเงินตราในสถานการณ์​ที่เอื้ออำนวย…

“ผมจึงไม่คิดว่า​ชาวต่างชาติจะแห่กันมาซื้อบ้าน+ที่ดินมาก อย่างที่พวกเราหลายคนเป็นห่วง​เพราะตั้งแต่ถูกจำกัดด้วยคน ​4 กลุ่ม ที่เป็นประโยชน์​ต่อเศรษฐกิจ ​ซึ่งได้แก่ผู้มีรายได้สูง​คนเกษียณ​ ผู้เชี่ยวชาญ​ และผู้ที่ประสงค์พำนักเพื่อทำงาน ผมยังเชื่อว่าชาวต่างชาติส่วนใหญ่จะนิยมซื้อคอนโดฯหรือห้องชุด ที่ประเทศไทยเปิดโอกาสให้ซื้อได้มานานแล้ว​ โดยจะซื้อมูลค่ากี่ร้อยล้านก็ได้ โดยไม่จำกัดด้วยขนาด หรือราคาของห้องชุด​  เพียงแต่ต้องไม่เกินร้อยละ ​49 ของแต่ละอาคารชุด​ส่วนที่เหลือจะถือกรรมสิทธิ์​โดยคนไทยร้อยละ ​51เหตุผลที่ชาวต่างชาติจะนิยมคอนโดฯมากกว่า​เพราะคอนโดฯมักมีทำเลใจกลางเมืองที่เดินทางสะดวกและใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆมากกว่า”

ถ้าพิจารณาให้ถ่องแท้แล้ว​การส่งเสริมให้ชาวต่างชาติให้มาซื้อบ้านหรือคอนโดฯในประเทศไทย​จะเปรียบเสมือนมาตรการยิงนกทีเดียวได้​ 3 ตัว คือ.-

1.เป็นการส่งเสริมการส่งออกโดยสินค้านั้นยังคงอยู่ในประเทศไทย

2.เป็นการส่งเสริมการลงทุนที่เราได้เงินตราเข้าประเทศ​กระตุ้นเศรษฐกิจ​ทำให้คนไทยมีรายได้ดีขึ้น

3.เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างถาวร​เพราะเขาจะอยู่นานมากขึ้น​และมาบ่อยๆ​ช่วงที่อยู่ก็ต้องจับจ่ายใช้สอยต่างๆ

เมื่อชาวต่างชาติมาซื้อบ้านหรือคอนโดฯ​แต่ละราย เทียบเท่านักท่องเที่ยวหลายร้อยคนแล้ว​การส่งเสริมให้อยู่ระยะยาวจะดีกว่าการส่งเสริมให้อยู่ระยะสั้นๆหรือไม่?

 

 

toppercool

CEO,Prop2morrow Blogger อสังหาฯ , นักการตลาดดิจิตัล สาย Content marketing