CPANEL เปิดแผนปี 66 เล็งขยายฐานอสังหาฯหัวเมืองใหญ่ จ่อคิวเซ็นสัญญาลูกค้า 3 ราย มูลค่า 200 ล้านบาท

  • Post author:
You are currently viewing CPANEL เปิดแผนปี 66 เล็งขยายฐานอสังหาฯหัวเมืองใหญ่ จ่อคิวเซ็นสัญญาลูกค้า 3 ราย มูลค่า 200 ล้านบาท
ซีแพนเนลฯ ภาพรวมอสังหาฯ-ท่องเที่ยวปี 66 คึกคัก โดยเฉพาะตลาดแนวราบระดับกลางบน พื้นที่กทม.ปริมณฑล หนุนกำลังซื้อหลังจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน เปิดประเทศระบุรัฐล็อกมาตรการ LTV ปรับค่าธรรมเนียมการโอนเหลือร้อยละ 1 กระทบตลาดคอนโดฯแน่ กางแผนปี 2566 ชูกลยุทธ์ขยายฐานลูกค้าอสังหาฯ หัวเมืองใหญ่ โรงแรม นิคมฯ เตรียมลงเครื่องจักรเพิ่มกำลังการผลิต 25% ส่วนโรงงานแห่งที่ 2 พร้อมเดินเครื่องได้ปี 67 ดันกำลังการผลิตพุ่งเท่าตัวหรือ 900,000 ตารางเมตรต่อปี ลุ้นผลประกอบการนิวไฮต่อเนื่อง ตั้งเป้าหมายรายได้ เติบโต 10-15% พร้อมรักษาความสามารถการทำกำไร Backlog 1,295 ล้านบาท ลูกค้า 3 ราย จ่อคิวเซ็นสัญญามูลค่า 200 ล้านบาท
นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (มหาชน) หรือ CPANEL ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete) ด้วยระบบอัตโนมัติ (Fully Automated Precast) เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯว่า มีสัญญาณที่ดี จำนวนบ้านจัดสรรก่อสร้างใหม่ในเขตกรุงเทพ และปริมณฑลยังคงเติบโต โดยเฉพาะบ้านระดับกลาง – บน สำหรับอาคารชุด คอนโดมิเนียมคาดว่าจะได้รับอานิสงส์อย่างมากจากการที่ จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน ที่กลับมาเปิดประเทศอย่างเต็มตัว และประเทศไทยมีแนวโน้มรับนักท่องเที่ยวเพิ่มเป็น 21.4 และ 34.7 ล้านคน ในปี 2566-2567

แต่การที่ภาครัฐไม่ต่อมาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value : LTV) และลดค่าจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์จากร้อยละ 2 เหลือร้อยละ 1 และลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์จากเดิม ร้อยละ 1 เหลือร้อยละ 0.01 จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจคอนโดฯ

อีกทั้งความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ในประเทศเมียนมา ไต้หวัน และ ยุโรปบางประเทศ สนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ ที่จะเป็นบ้านหลังที่สอง (Second Home), การกระจายฐานการผลิต และ การลงทุน เนื่องจากประเทศไทยค่อนข้างมีความเป็นกลางในเรื่องดังกล่าว ส่งผลให้มีประชากรในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ( Eastern Economic Corridor) เพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา มีอัตราการโอนกรรมสิทธิ์อสังหาฯ จาก 12% เป็น 15 % และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

“เชื่อว่าปีนี้จะเป็นปีที่ประเทศไทยได้รับปัจจัยเชิงบวกจากจีนค่อนข้างมากโดยเฉพาะภาคอสังหาฯ และการท่องเที่ยว ประกอบกับความต้องการซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (Pent Up Demand) จากความต้องการที่ถูกอั้นไว้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 อาจส่งผลให้การแข่งขันของผู้ประกอบการอสังหาฯสูงขึ้น  โดยต้องการความรวดเร็วในการส่งมอบงานได้ทันเวลา ลดต้นทุนการก่อสร้าง ลดจำนวนแรงงาน อีกทั้งสามารถรักษาเงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) ในการดำเนินงาน ซึ่ง Precast Concrete สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้ดี ถือเป็นโอกาสในการรับงานให้กับบริษัท และเชื่อว่าจากปัจจัยดังกล่าวจะผลักดันให้ผลประกอบการปี 2566 เติบโตได้ตามแผนที่วางไว้” นายชาคริต กล่าว

สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทฯมีแผนขยายฐานลูกค้าภาคอสังหาริมทรัพย์ในหัวเมืองใหญ่ ทั้งแนวราบ แนวสูง เช่น ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงลูกค้ากลุ่มโรงแรม และโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม โดยมีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจ และภาคท่องเที่ยว ซึ่งภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์มีสัญญาณที่ดี จำนวนบ้านจัดสรรก่อสร้างใหม่ในเขตกรุงเทพ และปริมณฑลยังคงเติบโต โดยเฉพาะบ้านระดับกลาง-บน ส่วนคอนโดมิเนียมคาดว่าจะได้รับอานิสงส์อย่างมากจากการที่จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน กลับมาเปิดประเทศเต็มตัว

อีกทั้งในปี 2566 บริษัทได้วางงบลงทุนไว้ที่ 530 ล้านบาท โดยจะแบ่งเม็ดเงินเป็น 2 ส่วน ประกอบด้วย ใช้ลงทุนเครื่องจักรเพิ่มเติม ประมาณ 30 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 25% ซึ่งจะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการในช่วงกลางปี 2566 และจะส่งผลให้กำลังการผลิตเพิ่มเป็น 900,000 ตารางเมตรต่อปี จากเดิมที่มีกำลังการผลิต 792,000 ตารางเมตรต่อปี

ส่วนอีกประมาณ 500 ล้านบาท บริษัทฯจะใช้ลงทุนก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 2 ซึ่งจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2566 นี้ และจะเสร็จสิ้นพร้อมดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2567 โดยกำลังการผลิตโรงงานแห่งที่ 2 จะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1 เท่าตัว หรือประมาณ 900,000 ตารางเมตรต่อปี

ทั้งนี้คาดว่าผลประกอบการในปี 2566 จะเติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยได้วางเป้าหมายรายได้รวมจะเติบโตที่ประมาณ 10-15% จากปีก่อน พร้อมรักษาความสามารถการทำกำไรจากการดำเนินงาน โดยบริษัทยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์ขยายฐานลูกค้า พร้อมเพิ่มกำลังการผลิต

โดย ณ วันที่ 10 ธันวาคม 2565 บริษัทมีงานในมือ (Backlog) ประมาณ 1,295 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ภายในปี 2566 ประมาณ 600 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปี 2567 นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญาจากลูกค้า 3 ราย มูลค่ารวมประมาณ 200 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 2 ราย แนวสูง 1 ราย ซึ่งคาดว่าจะสามารถเซ็นสัญญารับงานได้ภายในช่วงไตรมาส 1/2566

ส่วนผลการดำเนินงานในปี 2565 ที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตที่ดี โดยรายได้รวมจะเติบโตได้สูงกว่าเป้าหมายที่ 35% ซึ่งเห็นการเติบโตทำนิวไฮแล้วตั้งแต่ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทมีรายได้รวม 316.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.52% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 48.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 142.48% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งเติบโตมากกว่าทั้งปี 2564 ที่มีรายได้รวม 312.44 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 31.80 ล้านบาท

 

toppercool

CEO,Prop2morrow Blogger อสังหาฯ , นักการตลาดดิจิตัล สาย Content marketing