ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ กวาดยอดขายบ้านและคอนโดฯปี 2565 กว่า 41,026 ล้าน ทะลุเป้าหมายทั้งปี 117% และเติบโตจากปีก่อนหน้าถึง 36% สูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ชูจุดแข็งมีสินค้าตอบโจทย์ลูกค้าครบทุกเซ็กเมนต์ทั้งสร้างเสร็จพร้อมอยู่และกำลังก่อสร้าง กระจายตัวหลากทำเล แย้มแผนลงทุนปี 2566 เปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณ 20% พร้อมกระจายตัวบุกทำเลใหม่เพิ่มเติม
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า ในปี 2565 ที่ผ่านมา บริษัททำยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยได้ประมาณ 41,026 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายทั้งปีที่วางไว้ 35,000 ล้านบาท และเติบโตจากปี 2564 ถึง 36% ถือเป็นยอดขายที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท โดยแบ่งเป็นยอดขายจากกลุ่มบ้านจัดสรร 27% และกลุ่มคอนโดมิเนียม 73% โดยยอดขายหลักมาจากโครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) ประมาณ 53% และยอดขายจากกลุ่มโครงการที่เพิ่งเปิดขายหรืออยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างประมาณ 47%
“ยอดขายที่เกิดขึ้นมาจากความแข็งแกร่งของบริษัทใน 3 ด้าน คือ มีสินค้าหลากหลายแบรนด์ตอบโจทย์ทุกเซ็กเมนต์ราคา มีสินค้าตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ พร้อมฟังก์ชันที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต และมีสินค้าให้เลือกทั้งบ้านและคอนโดฯกระจายตัวในหลากทำเล ทำให้ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดีในช่วงที่สถานการณ์ COVID-19 ค่อยๆ คลี่คลาย”
ทั้งนี้กลุ่มโครงการที่ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภค จะเป็นกลุ่มโครงการที่มีฟังก์ชันตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคใหม่ ประกอบด้วย กลุ่มคอนโดฯตอบโจทย์ลูกค้า Startup เช่น โครงการออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ นนทบุรี สเตชั่น ที่มีบริการและฟังก์ชันตอบโจทย์ลูกค้าธุรกิจ Startup เพราะที่ตั้งอยู่ใกล้สำนักงานต่างๆ ทั้งศูนย์ราชการนนทบุรี และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
กลุ่มคอนโดฯสำหรับ Pet Lover เช่น ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ สิรินธร สเตชั่น ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของทั้งคนและสัตว์เลี้ยง พร้อมทั้งขนาดห้องแบบ Duo Space เพดานสูง 4.2 เมตร กลุ่มโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนระยะยาว ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มลงทุน เช่น บริกซ์ตัน แคมปัส บางแสน ที่ใกล้สถานศึกษา นอกจากนี้ กลุ่มโครงการระดับลักชัวรี เช่น โซ ออริจิ้น เกษตร อินเตอร์เชนจ์ และโซ ออริจิ้น พหล 69 รวมถึงโครงการพาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ ที่เพิ่งก่อสร้างแล้วเสร็จ สามารถทำยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2566 นายพีระพงศ์ประเมินว่า ยังมีสัญญาณบวกจากรอบด้าน อาทิ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มเดินทางเข้าเมืองไทยเพิ่มขึ้นกว่าปี 2565 เป็นเท่าตัว,กำลังซื้อทั้งในและต่างประเทศฟื้นตัว,GDP ของประเทศเติบโต 3-5% ส่งผลให้ธุรกิจอสังหาฯ โดยเฉพาะกลุ่มโครงการที่อยู่อาศัย ยังมีโอกาสเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้บริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณ 20% พร้อมการบุกเข้าสู่ทำเลใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยไปมาก่อนในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ตลอดจนหัวเมืองท่องเที่ยว นอกเหนือจากจังหวัดในแถบ EEC ด้วย คาดว่าจะเปิดเผยภาพรวมแผนธุรกิจของทั้งเครือได้อย่างเป็นทางการในช่วงปลายไตรมาส 1 นี้
