เฟรเซอร์ส”เดินหน้าทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่ตามแผน ชู 4 กลยุทธ์เสริมแกร่งบนน่านน้ำเดิม สู่การเติบโตสมรภูมิใหม่

  • Post author:
You are currently viewing เฟรเซอร์ส”เดินหน้าทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่ตามแผน ชู 4 กลยุทธ์เสริมแกร่งบนน่านน้ำเดิม สู่การเติบโตสมรภูมิใหม่
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้โฮมฯเชื่อมั่นหลังเลือกตั้งรัฐบาลชุดใหม่ดันเศรษฐกิจฟื้น เปิดแผนปี 66 จ่อผุด 11 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 17,500 ล้านบาท เดินหน้าทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่ตามแผน ผ่าน 2 กุญแจสำคัญ เสริมแกร่งบนน่านน้ำเดิมเติบโตบนสมรภูมิใหม่ ภายใต้ 4 กลยุทธ์ เปิดบ้านทุกระดับราคา,เดินหน้าจัด Big Campaign กระตุ้นยอดขายตลอดปี,บุกตลาดคอนโดฯ Low Rise นำร่อง“KLOS RATCHADA” และขยายพอร์ตโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ซูเปอร์ลักชัวรี่ ชูแบรนด์ใหม่ “เดอะ โรยัล เรสซิเดนซ์”ตั้งเป้ายอดขายรอรับรู้รายได้ปีนี้แตะ 13,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14%
นายแสนผิน สุขี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด ในเครือ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) หรือ FPT เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2566 นี้ ยังส่งสัญญาณชะลอตัว โดยเฉพาะกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐ ยุโรป และจีน ผลจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ และสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน สำหรับเศรษฐกิจในประเทศไทยมองว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)มีแนวโน้มขยายตัว 3-4.0% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการเศรษฐกิจของภาครัฐ การลงทุนเพิ่มขึ้นของภาคเอกชน การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น นโยบายการเปิดประเทศที่ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาและคาดว่าจะมีจำนวนสูงกว่า 20 ล้านคนในปี 2566 ซึ่งภาคการท่องเที่ยวจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญผลักดันเศรษฐกิจไทยขยายตัวที่ 3-3.5% ประกอบกับการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศ โดยเฉพาะในหัวเมืองหลักเพื่อรองรับการกลับมาของการท่องเที่ยว พร้อมทั้งนักลงทุนต่างชาติที่ทยอยกลับเข้ามา ส่งผลให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยกลับมาคึกคักอีกครั้ง

ขณะที่การเมืองในประเทศก็ต้องจับตามองการเลือกตั้งในปี 2566 นี้ ที่จะเกิดความชัดเจนทางเศรษฐกิจมากขึ้น เพราะจะมีการใช้จ่ายเงินมาก ซึ่งเม็ดเงินจะกระจายไปสู่ระดับรากหญ้า ในฐานะนักธุรกิจเชื่อว่ารัฐบาลชุดใหม่ที่จะจัดตั้งขึ้นหลังการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม 2566 นี้ เข้ามาในจังหวะที่ดี หลังวิกฤติโควิด-19 คลี่คลาย และจะทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจดีขึ้น  แต่ในด้านหนี้สินครัวเรือนยังอยู่ในระดับที่สูง ส่วนดอกเบี้ยนโยบายยังมีแนวโน้มปรับตัวสูง ล้วนยังเป็นโจทย์สำคัญที่มีผลต่อกำลังซื้อในประเทศ

ด้านแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯในปี 2566 วางแผนเปิดตัว 11 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 17,500 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว 7 โครงการ, ทาวน์โฮม 2 โครงการ, บ้านแฝด 1 โครงการ และคอนโดมิเนียม 1 โครงการ โดยครึ่งปีแรก 2566 จะเปิดตัวก่อน 6 โครงการ เป็นบ้านเดี่ยว 4 โครงการ,บ้านแฝด 1 โครงการ และทาวน์โฮม 1 โครงการ  ซึ่งเป็นการเปิดตัวน้อยกว่าปี 2565 ที่ผ่านมา ที่มีการเปิดตัวทั้งสิ้น 25 โครงการ มูลค่า 29,000 ล้านบาท

นอกจากนี้อาจรุกเปิดตัวในต่างจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดระยอง ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(Eastern Economic Corridor : EEC)เพิ่มขึ้นด้วย ขณะนี้อยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูล เพราะปัจจุบันที่ดินในระยอง ราคาพุ่งขึ้นไปสูงมาก โดยพื้นที่ที่ห่างจากตัวเมืองระยองไปประมาณ 10 กิโลเมตร ราคาอยู่ที่ 8 ล้านบาท/ไร่

อย่างไรห็ตามบริษัทฯพร้อม เดินหน้าทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่ตามแผน เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในการดำเนินธุรกิจครั้งสำคัญให้ก้าวเข้าสู่ความแข็งแกร่งในทุกด้าน ภายใต้วิสัยทัศน์ “คิดใหม่ ทำใหม่ (ให้) ใหม่เสมอ” เพื่อสร้างผลตอบแทนบนรายได้ที่เติบโตสม่ำเสมอ ผ่าน 2 กุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร ได้แก่ เสริมแกร่งบนน่านน้ำเดิม พัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีศักยภาพด้วยสินค้าที่มีคุณภาพและมีนวัตกรรม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและการอยู่อาศัยที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน และเติบโตบนสมรภูมิใหม่ กับการสร้างโอกาสใหม่ ๆ เพื่อสามารถรักษาระดับอัตราการเติบโตของธุรกิจ และตอบสนองความต้องการของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยได้อย่างครอบคลุม ตอบโจทย์ได้ครบทุกความต้องการ และสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยให้แตกต่างจากที่เคย

สำหรับ 4 กลยุทธ์เสริมแกร่งบนน่านน้ำเดิมและเติบโตบนสมรภูมิใหม่ ประกอบด้วย

1.แผนเดินหน้าเปิดตัวโครงการบ้านในทุกระดับราคา โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนพัฒนาโครงการประเภทบ้านเดี่ยวในทุกเซกเมนต์ โดยเฉพาะโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ ซึ่งหวังเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ประจำในจังหวัดที่มีการขยายตัวของเมืองและแหล่งงาน ด้วยการนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพและมีนวัตกรรม ให้ความสำคัญกับเรื่องการใช้งานแบบมีสไตล์สะท้อนตัวตน ปรับฟังก์ชันการใช้งานให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของลูกค้า ขณะเดียวกันยังคงรักษาการเป็นผู้นำตลาดทาวน์โฮม ด้วยการพัฒนาโครงการคุณภาพบนทำเลศักยภาพสูง และโดนเด่นด้วยฟังก์ชันที่ครองใจลูกค้า รวมถึงพัฒนาบ้านแฝดที่เน้นการออกแบบและฟังก์ชันที่เทียบเท่าบ้านเดี่ยว เน้นทำเลใกล้เมืองและแหล่งอำนวยความสะดวก ด้วยราคาที่จับต้องได้

2.เดินหน้าจัด Big Campaign เพื่อกระตุ้นยอดขายตลอดปี 2566 โดยเฉพาะเซกเมนต์ทาวน์โฮม ซึ่งวางแผนจัดแคมเปญทางการตลาดและโปรโมชั่นพิเศษตลอดทั้งปี เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อให้กับผู้บริโภค พร้อมทั้งเป็นการสร้างการรับรู้ และจดจำแบรนด์สินค้าของบริษัทอีกด้วย

3.บุกตลาดคอนโดฯ Low Rise เนื่องจากเห็นโอกาสทางการตลาดหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายที่ตลาดคอนโดมิเนียมเริ่มกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม Low Rise ระดับราคา 3-5 ล้านบาทที่มีสัดส่วนดีมานด์เพิ่มมากที่สุดในปี 2565 ในขณะที่สินค้าคงเหลือในตลาดกลับมีไม่เพียงพอกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทฯ มีแผนพัฒนาโครงการคอนโดฯ Low Rise โครงการแรก ด้วยโลเคชันตั้งอยู่ในเมืองและใกล้รถไฟฟ้าภายใต้ชื่อแบรนด์ใหม่ KLOS RATCHADA” ราคาขายประมาณ 130,000 บาท/ตารางเมตร มูลค่าโครงการเกือบ 1,000 ล้านบาท  ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียม Low rise เจาะกลุ่มลูกค้า Real Demand บนทำเลที่ติดกับโครงการ “เดอะ สตรีท รัชดา” ซึ่งคาดว่าจะเปิดขายในช่วงกลางปี 2566 นี้ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการขอการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) คาดว่าจะสามารถผ่าน EIA ได้ในช่วงพฤษภาคม 2566 นี้ อีกทั้งบริษัทฯยังมีที่ดินเปล่าที่รอการพัฒนาคอนโดมิเนียมอีก 4 แปลง ได้แก่ ลาดพร้าว รามอินทรา จรัญสนิทวงศ์ และซอยหลังสวน

โดยที่ดินแปลงหลังสวน เดิมคืออาคารเก่า บนที่ดินประมาณ 2 ไร่ เยื้องโรงแรมสินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพฯที่ FPT เข้าไปถือหุ้นอยู่ 40% แต่ต่อมาได้เข้าไปซื้อหุ้นที่เหลือ ทำให้เป็นเจ้าของอาคารดังกล่าว 100% ซึ่งในอนาคตอีก 3-4 ปี มีแผนจะนำมาพัฒนาเป็นคอนโดฯไฮไรส์ ทั้งนี้คงต้องรอให้บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) เปิดตัวโครงการหรูบนถนนสารสินเสียก่อน จึงจะเปิดเผยราคาโครงการของบริษัทได้

ขณะเดียวกันการขยายพอร์ตคอนโดมิเนียมของบริษัทนอกจากการพัฒนาบนที่ดินเปล่าของบริษัทเองแล้ว จะมีการเข้าซื้อธุรกิจหรือซื้อพอร์ตโครงการคอนโดมิเนียมของผู้ประกอบการรายอื่นเข้ามา ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการทำ Due Diligence อยู่กับผู้ประกอบการที่บริษัทฯสนใจเข้าซื้อธุรกิจหรือซื้อพอร์ตเข้ามา ซึ่งเป็นผู้ประกอบการที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้  คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปีนี้ และแผนดังกล่าวจะสามารถช่วยให้พอร์ตคอนโดมิเนียมของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นไปเป็น 20-30% ได้

4.ขยายพอร์ตโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ และระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ซึ่งจะเพิ่มสัดส่วนการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ขึ้นไปในระดับราคา 60-120 ล้านบาทใน 3 แบรนด์หลัก ได้แก่ The Royal Residence (เดอะ โรยัล เรสซิเดนซ์) ซึ่งเป็นแบรนด์ใหม่ รวมถึง Alpina (อัลพีน่า)  และ The GRAND (เดอะ แกรนด์) เน้นเจาะกลุ่มครอบครัวคนรุ่นใหม่ที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยที่ตอบโจทย์ความต้องการของตนเอง และสามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่ได้ตามไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต

“ปัจจุบันสัดส่วนของพอร์ตสินค้าแนวราบยังคงเเป็นสัดส่วนหลักโดยจะเป็นบ้านเดี่ยวที่มีสัดส่วนมากกว่าทาวน์เฮาส์เล็กน้อย ซึ่งเป็นไปตามทิศทางของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยที่การขายบ้านเดี่ยวได้รับความนิยมมากขึ้น จากกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง และเป็นกลุ่มลูกค้าที่ส่วนใหญ่ซื้อด้วยเงินสดเป็นส่วนใหญ่ ทำให้การขายโครงการบ้านเดี่ยวไม่ได้รับผลกระทบจากการถูกปฏิเสธสินเชื่อ ขณะที่ในปี 2566 บริษัทมองเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดคอนโดมิเนียมที่กลับมาดีขึ้น หลังจากกลับมาเปิดเมือง คนกลับมาทำงานในออฟฟิศมากขึ้น และการจราจรเริ่มติดขัด ส่งผลให้ความต้องการอยู่อาศัยคอนโดมิเนียมที่เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้า และเป็นโครงการที่อยู่ในเมืองหรือใกล้เมือง ประกอบกับใกล้ห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า อีกทั้งการกลับมาของกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าชาวจีน ที่จะเข้ามาช่วยหนุนแรงซื้อตลาดคอนโดมิเนียมในประเทศไทยให้กลับมา”นายแสนผิน กล่าว

อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายรอรับรู้รายได้ 13,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากปี 2565 ที่มีรายได้ 11,392 ล้านบาท

 

toppercool

CEO,Prop2morrow Blogger อสังหาฯ , นักการตลาดดิจิตัล สาย Content marketing