4 ค่ายอสังหาฯโชว์ผลประกอบการปี’65 พร้อมประกาศแผนปีกระต่าย เดินหน้ารุกธุรกิจในเครือต่อเนื่อง

  • Post author:
You are currently viewing 4 ค่ายอสังหาฯโชว์ผลประกอบการปี’65  พร้อมประกาศแผนปีกระต่าย เดินหน้ารุกธุรกิจในเครือต่อเนื่อง
4 ค่ายอสังหาฯปลื้มผลประกอบการปี 65 โดยสิงห์ เอสเตทฯ ประกาศรายได้ กว่า 12,530 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ มีกำไรสุทธิ 490 ล้านบาท  เดินหน้าโครงการบ้านแนวราบใหม่กว่า 10,000 ล้านบาท เสริมทัพด้วยกำไรจากธุรกิจโรงแรมรับการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของภาคการท่องเที่ยว ด้านลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ยอดรับรู้รายได้แตะ 6,239.13 ล้านบาท ปรับลดลงจากปีก่อนหน้าที่ 5.3% ระบุยังมีอัตรากำไรขั้นต้นในระดับที่สูงกว่า 39%   บอร์ดมีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น  พิจารณาจ่ายปันผลทั้งปีที่ 0.64 บาท/หุ้น ขณะที่วิลล่า คุณาลัยฯ โกยรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ แตะระดับ 1,001.62 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ กำไรสุทธิ 106.63 ล้านบาท ขณะที่ยอดขายแตะ 1,439.90 ล้านบาท พร้อมตุน backlog แล้วกว่า 175 ล้านบาท  ส่วน วิลล่า คุณาลัยฯเดินหน้าตอกย้ำแผนปี 2566 เปิดตัวโครงการบ้านระดับกลาง-บน ภายใต้แบรนด์ “คุณาลัย นาวาร่า” และ “คุณาลัย เพอร่า”มูลค่ารวมกว่า 11,600 ล้านบาท มั่นใจยอด Pre-Sale มีลุ้นแตะ 1,800 ล้านบาท ขณะที่เป้ารายได้ส่อแววแตะ 1,300 ล้านบาท ส่งท้ายด้วย พีซแอนด์ลีฟวิ่งฯ กวาดรายได้รวม 1,784 ล้านบาท เติบโต52.85% มีกำไรสุทธิ 384 ล้านบาท เติบโตขึ้น 78.53% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังสามารถปิดโครงการ CHER วงแหวน-สาทร และโครงการ THE GLAMOR เอกมัย – ประดิษฐ์มนูธรรม เดินหน้าต่อยอดความสำเร็จในปี 2566 กับโครงการใหม่ล่าสุดและโครงการที่กำลังจะเปิดในเร็วๆ นี้ มั่นโตตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้
นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์
S ปลื้มยอดขาย “บ้านศิรนินทร์” เกินเป้า-โรงแรมฟื้นตัวเร็ว
นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S เปิดเผยว่า ในปี 2565 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ปรับกลยุทธ์ให้ตอบสนองต่อสถานการณ์ตลาดและกระตุ้นการสร้างรายได้จากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างเต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้รายได้สามารถสร้าง New High ในปีที่ผ่านมา สำหรับกลุ่มธุรกิจที่พักอาศัยประเภทบ้านแนวราบมีผลงานโดดเด่นสร้างยอดขายให้เติบโตอย่างรวดเร็ว ภายหลังใช้เวลาเพียง 1 ปีในการปั้นโครงการใหม่ออกสู่ตลาดและเปิดตัวในปีที่ผ่านมา เนื่องจากลูกค้าให้การยอมรับในคุณภาพและเชื่อมั่นในมาตราฐานของสิงห์ เอสเตท ตอกย้ำความสำเร็จในการเป็นผู้นำในการพัฒนาบ้าน luxury อย่างแท้จริง โดยโครงการ “ศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส พัฒนาการ” (SIRANINN Residences Pattanakarn) มีมูลค่าโครงการกว่า 2,900 ล้านบาท เปิดตัวอย่างสวยงามในปลายปี 2565 ด้วยยอดโอนกรรมสิทธิ์กว่า 830 ล้านบาท หรือสูงถึง 28% หลังเปิดโครงการได้เพียง 2 เดือน นับเป็นก้าวที่สำคัญในการสร้างแบรนด์บ้านคุณภาพในตลาดเป้าหมายที่หลากหลายมากขึ้นนอกจากนั้นรายได้จากธุรกิจโรงแรมเพิ่มขึ้นสู่ 8,693 ล้านบาท หรือเติบโตเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2564 ซึ่งมาจากการใช้กลยุทธ์ที่มีความหลากหลาย ทั้งในเชิงภูมิศาสตร์ที่ตั้ง ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากหลากหลายภูมิภาค การบริหารพอร์ตอย่างมีประสิทธิภาพทั้งเชิงการกำหนดราคา การทำการตลาดเชิงรุกและการเจาะตลาดลูกค้ากลุ่มใหม่โดยเฉพาะตลาดที่มีกำลังซื้อ ควบคู่กับการปรับปรุงทรัพย์สินทรัพย์ให้ตอบโจทย์กระแสการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ใหม่ๆ  ส่งผลสำเร็จต่อการปรับเพิ่มอัตราค่าห้องพักต่อคืน (ADR) ในปี 2565 ของโรงแรมในหลายประเทศ เช่น สาธารณรัฐมัลดีฟส์ และสหราชอาณาจักร ให้เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าสามารถสร้างรายได้อยู่ที่ 1,014 ล้านบาทปรับตัวดีขึ้น 5% ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับเพิ่มอัตราค่าเช่าขึ้นได้แม้จะอยู่ระหว่างสถานการณ์ที่ท้าทาย พร้อมกับการเปิดพื้นที่ค้าปลีกบางส่วนในโครงการ S-OASIS ที่ถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งจะมีการเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบในไตรมาส 2 ของปี 2566 และธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานได้มีความก้าวหน้าตามแผนโดยรับรู้รายได้เป็นปีแรกจากการขายและการโอนที่ดินของนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง (S-Angthong) รวมมูลค่า 198 ล้านบาท

“สำหรับผลประกอบการที่ดีในครั้งนี้ เป็นผลมาจากการผลักดันรายได้ในทุกกลุ่มธุรกิจของเรา ควบคู่การบริหารต้นทุนอย่างเข้มข้น ผลส่งให้เรามีกำไรสุทธิ 490 ล้านบาทในปี 2565 โดยบันทึกกำไรสามไตรมาสติดต่อกัน จึงถือได้ว่าปี 2565 นี้ เป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวความสำเร็จของ สิงห์ เอสเตท จากความทุ่มเทในการปรับตัวเพื่อเอาชนะความท้าทายต่อสภาวะตลาดและสภาพเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว นอกจากนั้นแล้ว บริษัทฯ ยังคงมีความมุ่งมั่นในการทำงานด้านความยั่งยืนในทุกมิติอย่างจริงจัง ภายใต้นโยบายการสร้างความหลากหลายที่สมดุลสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Diversity) เพื่อสร้างจุดแข็งทางธุรกิจเพื่อส่งเสริมซึ่งกันและกันระหว่างธุรกิจ พร้อมเปิดตัวโครงการใหม่อีกหลายโครงการตามแผนธุรกิจภายในปี 2565 ซึ่งจะเป็นฟันเฟืองสำคัญที่จะผลักดันรายได้ของสิงห์ เอสเตท ให้เติบโตต่อเนื่องในอนาคต” นางฐิติมา กล่าว

โดยทิศทางการขับเคลื่อนธุรกิจในปี 2566  ประกอบด้วย

-ธุรกิจในกลุ่มโรงแรม คาดว่ากลุ่มโรงแรมจะเติบโตโดดเด่นกว่าปี 2565 เนื่องจากเราเห็นโมเมนตัมที่ดีของการฟื้นตัวในไตรมาสที่ 4 ปี 2565 ต่อเนื่องมาช่วงต้นปี 2566 โดยเฉพาะโรงแรมในไทยและมัลดีฟส์ และความสำเร็จของการพัฒนาบริหารแบรนด์ SAii ที่ช่วยผลักดัน ADR ให้สูงกว่าช่วงก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19 ได้ถึง 17% โดยแรงส่งสำคัญนี้ ผนวกกับความต้องการท่องเที่ยวที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน การบริหารพอร์ตอย่างมีประสิทธิภาพของ SHR ทั้งภาคการตลาดเชิงรุก การเจาะตลาดลูกค้ากลุ่มใหม่และตลาดที่มีกำลังซื้อ คาดว่าจะช่วยผลักดันรายได้ของพอร์ตโรงแรมโดยรวมเติบโตได้ถึง 20% เสริมด้วย การเปิดดำเนินการของโรงแรม โซ/ มัลดีฟส์ (So/ Maldives) รีสอร์ทแห่งที่ 3 บนโครงการครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2566

อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัย บริษัทฯ มุ่งพัฒนาโครงการบ้านแนวราบหลังจากที่ได้มีการปรับโครงสร้างใหญ่ในธุรกิจที่พักอาศัยได้เพียง 1 ปี ซึ่งในปี 2565 ผลการดำเนินงานมีความสำเร็จอย่างสูงและมียอดขายที่รอรับรู้รายได้จากการโอนของโครงการสันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส และโครงการศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส ราว 4,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นตลาดระดับ ultra luxury ที่มีกำลังซื้อแข็งแกร่งและมีความอ่อนไหวต่อสภาวะเศรษฐกิจน้อยกว่า พร้อมเดินหน้ารุก 5 โครงการบ้านแนวราบใหม่ รวมมูลค่าราว 10,000 ล้านบาท ด้วยกลยุทธ์สร้างบ้านคุณภาพ บนมาตรฐานสิงห์ เอสเตท ซึ่งจะทยอยเปิดตัวในปี 2566 พร้อมรับรายได้ภายในปี ช่วยผลักดันรายได้จากธุรกิจที่พักอาศัยให้เติบโตเกือบเท่าตัว

อสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า จะเติบโตจากยอดรายรับเต็มปีของอาคาร S-OASIS อาคารสำนักงานเพื่อคนรุ่นใหม่ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การทำงานแบบไฮบริด ซึ่งเป็นความต้องการของเทรนด์การทำงานในปัจจุบัน มีพื้นที่เช่าขนาดใหญ่กว่า 54,000 ตารางเมตรพร้อมสิ่งอำนวยสะดวกที่ทันสมัย รักษาสิ่งแวดล้อมบนมาตราฐานระดับสากล ซึ่งช่วงปลายปี 2565 อาคาร S-OASIS มีผู้เช่าหลักเข้ามาจับจองพื้นที่แล้ว ส่งผลดีต่อการเพิ่มอัตราการปล่อยเช่าในปี 2566 นี้

นิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน คาดการณ์กิจกรรมการโอนกรรมสิทธิ์จะเป็นไปตามแผนในปี 2566 เพราะได้รับอานิสงส์จากการเปิดประเทศและความต้องการพื้นที่ของโรงงานอุตสาหกรรมโดยเฉพาะสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง พร้อมปัจจัยการกระตุ้นจากภาครัฐ หนุนด้วยการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้า 2 แห่ง ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ผลักดันผลกำไรของบริษัทฯ ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

“ทั้งนี้การร่วมผนึกกำลังกันระหว่างบริษัทฯในเครือและพันธมิตรทางธุรกิจจะมีบทบาทสำคัญในการสร้างความหลากหลายที่สมดุลเพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มและทำให้ สิงห์ เอสเตท มีความแข็งแกร่งทางการเงิน ตามเป้าหมายของบริษัทฯ” นางฐิติมา กล่าวในที่สุด

นายชูรัชฏ์ ชาครกุล
LALIN  ยอดรับรู้รายได้แตะ 6,239.13 ล้านบาท
นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN  กล่าวถึงผลประกอบการของบริษัทในปี 2565  ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ไม่สดใสนัก สามารถทำยอดรับรู้รายได้ที่ 6,239.13 ล้านบาท ซึ่งปรับลดลงจากปีก่อนหน้า 5.3%   อย่างไรก็ดีในสถานการณ์ที่เงินเฟ้อเร่งตัว  ราคาสินค้าต่างๆ ปรับเพิ่มขึ้น  แต่บริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการต้นทุนด้านต่างๆ ได้ดี  โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ที่ 39.1%  ดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ระดับ 33%   ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดรับรู้รายได้ (SG&A/Revenues) ในปี 2565 ของบริษัทอยู่ที่ระดับ 10%  ดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดซึ่งอยู่ที่ราว 15% ในส่วนของต้นทุนการเงินบริษัทมีการออกหุ้นกู้ไปในช่วงต้นปีก่อนที่อัตราดอกเบี้ยจะเร่งตัวขึ้น  รวมถึงการบริหารจัดการเงินทุนอย่างเหมาะสม ทำให้บริษัทมีต้นทุนทางการเงินในระดับที่ต่ำ   ทั้งนี้ในปี 2565 บริษัทมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1,271.5 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ที่ 20.4% ดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 12%

สำหรับแผนการขยายธุรกิจในปี 2565 ที่ผ่านมา บริษัทสามารถขยายเปิดโครงการใหม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 11 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 8,500 ล้านบาท  และเตรียมขยายโครงการต่อเนื่องในปี 2566 นี้อีก 10 – 12 โครงการ มูลค่ารวม 7,000 – 8,000 ล้านบาท  โดยตั้งเป้าหมายยอดขายสำหรับปี 2566 นี้ไว้อยู่ที่ 8,600 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 6,850 ล้านบาท หรือขยายตัวราว 10%   ในส่วนสถานะทางการเงิน บริษัทมีการบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงินอย่างรัดกุม  มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง   โดย ณ สิ้นปี 2565 แม้บริษัทจะมีการขยายธุรกิจอย่างมาก  แต่ยังคงมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เพียง 0.55 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 1.4 เท่า  และมีระดับหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net D/E Ratio) เพียง 0.29 เท่า

ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ได้มีมติเห็นชอบนำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในการจัดสรรกำไรสำหรับปี 2565 ให้กับผู้ถือหุ้น โดยเสนอให้จ่ายเงินปันผลรวมทั้งปีในอัตราหุ้นละ 0.64 บาท ซึ่งหากคิดที่ราคาหุ้นปัจจุบัน คิดเป็น Dividend Yield อยู่ที่ระดับราว 7%   โดยบริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วที่ 0.305 บาท ดังนั้นจะเหลือจ่ายเพิ่มเติมอีก 0.335 บาทต่อหุ้น  โดยได้กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 16 มีนาคม 2566 (หรือขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 15 มีนาคม 2566) และกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 19 พฤษภาคม 2566

นางประวีรัตน์ เทวอักษร
KUNโชว์รายได้ปี’65 แตะ 1,001.62 สูงสุดเป็นประวัติการณ์
นางประวีรัตน์ เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ KUN กล่าวว่า บริษัทฯ มุ่งมั่นในการสร้างโอกาสการเติบโต เพื่อการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบอย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นได้จากในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯได้เปิดตัวโครงการใหม่ๆ อาทิ โครงการคุณาลัย คอร์ทยาร์ด , โครงการคุณาลัย บีกินส์ 2 , โครงการคุณาลัย จอย ออน 314 รวมถึง 2 โครงการ ที่เปิดพรีเซลล์ในปี 2565 ที่ผ่านมาคือ โครงการคุณาลัย เดซี่ และ โครงการคุณาลัย พาร์โก้ ซึ่งทุกโครงการของ “คุณาลัย” ตอบโจทย์ทุกความต้องการของ ผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ชานเมือง โดยหัวใจหลักของ “คุณาลัย” คือเน้นให้ความสำคัญของพื้นที่ใช้สอยที่สามารถปรับได้ทุกความต้องการบนความคุ้มค่าน่าซื้อของราคา ซึ่งปัจจัยดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่สะท้อนออกมาในรูปแบบของรายได้จากยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยพิจารณาได้จากตลอดช่วงระยะเวลา 5 ปี (2561-2565) ที่ผ่านมา “คุณาลัย”มีอัตราการเติบโตของรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาโดยตลอด โดยปี 2561 มีรายได้รวม 447.09 ล้านบาท, ปี 2562 มีรายได้รวม 652.67 ล้านบาท, ปี 2563 มีรายได้รวม 803.79 ล้านบาท, ปี 2564 มีรายได้รวม 996.39 ล้านบาท, และในปีนี้ 2565 บริษัทฯ มีความสามารถในการทำรายได้ แตะระดับ 1,001.62 ล้านบาท ซึ่งนับว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้ยอดขาย(Pre-Sale) ณ สิ้นปี 2565 อยู่ที่ 1,439.90 ล้านบาท และมูลค่างานในมือ (Backlog) ที่รอรับรู้เป็นรายได้เข้ามาภายในไตรมาส 1/2566 มูลค่า 175 ล้านบาท

ทั้งนี้แม้ว่า ในปี 2565 ภาพรวมอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ จะเกิดการชะลอตัวจากตัวแปรด้านเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ประกอบกับต้นทุนวัสดุก่อสร้าง รวมถึงราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น แต่บริษัทฯก็ยังสามารถรักษาระดับการเติบโตของตัวเลขกำไรสุทธิ แตะระดับ 106.63 ล้านบาทได้

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการพิจารณาเรื่องการจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นงวดปี 2565 เพิ่มเติมอีก ในอัตรา 0.03 บาทต่อหุ้น จากที่มีการจ่ายปันผลไปแล้วก่อนหน้านี้ ในอัตรา 0.05 บาทต่อหุ้น โดยเตรียมวาระดังกล่าวเสนอประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ในวันที่ 26 เมษายน 2566 เพื่อทำการอนุมัติและกำหนดรายชื่อ   ผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 10 มีนาคม 2566 และกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 9 มีนาคม 2566 โดยจะจ่ายเงินปันผลในวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 เป็นลำดับต่อไป ซึ่งจากการจ่ายปัผลต่อเนื่อง ตอกย้ำได้ว่าหุ้น KUN เป็นหุ้น Growth Stock ในหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์อีกหนึ่งตัว

สำหรับภาพรวมธุรกิจในปี 2566 นั้น  ในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าการเติบโตรายได้ที่ระดับ 1,300 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้ายอดขาย (Presale) ไว้ที่ 1,800 ล้านบาท โดยมองว่าทิศทางการเติบโตของบริษัทฯในปีนี้ มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 2565 จากการรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดในทำเลบางบัวทองที่บริษัทฯ มีความชำนาญ ร่วมกับการเปิดโครงการบ้านระดับกลาง -บน และมุ่งขยายไปพัฒนาในทำเลอื่นๆเพิ่มเติม ซึ่งสอดรับกับดีมานด์ที่อยู่อาศัยแนวราบยังคงเพิ่มสูงขึ้น หลังจากกำลังซื้อเริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติ เป็นผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายหลังจากมีการเปิดประเทศ ส่งผลให้กลุ่มสถาบันการเงินกลับมาพิจารณาการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าในกลุ่มที่เคยได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มากขึ้น อาทิ กลุ่มธุรกิจร้านอาหารและโรงแรม กลุ่มธุรกิจสายการบิน และกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว เป็นต้น ซึ่งจากปัจจัยทั้งหมดดังกล่าวก็จะส่งอานิสงส์เชิงบวกต่อบริษัทฯ

ส่วนปัจจัยอัตราดอกเบี้ยของประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี จะเพิ่มการผ่อนชำระค่างวดบ้านประมาณ 2% – 5% จากค่างวดเดิมนั้น ภาครัฐบาลได้มีการออกมาตราการลดค่าจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์จากร้อยละ 2 เหลือร้อยละ 1 และลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์จากเดิมร้อยละ 1 เหลือร้อยละ 0.01 ซึ่งจะเป็นปัจจัยกระตุ้นการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น

โดยในปีนี้ บริษัทฯเตรียมเปิดตัวโครงการ จำนวน 3 โครงการ ภายใต้แบรนด์ “คุณาลัย นาวาร่า”2 โครงการ และ “คุณาลัย เพอร์ร่า” 1 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 11,600 ล้านบาท ซึ่งโครงการ คุณาลัย นาวาร่า ถือว่าเป็นโครงการระดับกลาง-บน” ประกอบด้วย

1.โครงการคุณาลัย นาวาร่า พระราม 2-บางขุนเทียน โซนทิศใต้ของกรุงเทพฯ มูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท เป็นโครงการเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาดที่ดินเริ่มต้น 63 ตารางวา ราคาเริ่มต้นที่ 5.98 ล้านบาท โครงการตั้งอยู่บน ถนนบางขุนเทียน-ชายทะเล โดยปัจจุบันโครงการเปิด Soft Opening เมื่อตุลาคมที่ผ่านมา และมียอดขายแล้ว มูลค่ารวมประมาณ 70 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 1/2566 นี้เป็นต้นไป

2.โครงการคุณาลัย นาวาร่า รังสิต-คลอง 2 โซนทิศเหนือของกรุงเทพฯ มูลค่าโครงการ 6,700 ล้านบาท ราคาเริ่มต้นที่ 5.79 ล้านบาท คาดว่าจะเปิด Soft Opening ได้ในไตรมาสที่ 2/2566 นี้

3.โครงการ คุณาลัย เพอร่า บางบัวทอง เป็นโครงการบ้านเดี่ยว มูลค่าโครงการประมาณ 530 ล้านบาท ราคาเริ่มต้นที่ 4.49 ล้านบาท คาดว่าจะเปิด Soft Opening ได้ในไตรมาสที่ 2/2566 ทั้งนี้ จากแผนการเปิดตัวโครงการ ในปีนี้ ส่งผลให้ “คุณาลัย”ประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยภายใต้ “วิลล่า คุณาลัย”  ครบทั้ง 4 ทิศรอบกรุงเทพฯ- ปริมณฑล ตามแผนที่วางไว้

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สอดรับกับโอกาสการเติบโตทางธุรกิจ ส่งผลให้บริษัทฯวางกลยุทธ์ มุ่งเน้นจุดเด่นการให้พื้นที่ใช้สอยในบ้านภายใต้การศึกษานวัตกรรมใหม่เพื่อใช้ในการอยู่อาศัย อาทิ บ้านอัจฉริยะ ซึ่งจะทำให้ผู้อาศัยได้รับความสะดวกสบายจากเทคโนโลยี รวมถึงการพัฒนาบ้านประหยัดพลังงาน ซึ่งเป็นการออกแบบบ้านให้สามารถรับแสงธรรมชาติ รวมถึงออกแบบบ้านให้สอดคล้องกับทิศทางลม เพื่อลดอุณหภูมิภายในบ้าน รวมถึงเทคโนโลยีการประหยัดพลังงาน เช่น โซลาร์เซลล์ ซึ่งบริษัทฯ จะให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาด โดยในขณะนี้ได้เริ่มนำมาติดตั้ง ในโครงการใหม่ๆเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และพร้อมเดินตาม Road map ที่จะไปสู่การเป็น Net Zero ในอนาคต

PEACE เตรียมเปิด 3 โครงการใหม่ในปี’66 ต่อยอดความสำเร็จ
นายประสพศักดิ์ ศิริโสภณา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีซแอนด์ลีฟวิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ PEACE กล่าวว่า ผลประกอบการของปี 2565 (ม.ค.-ธ.ค. 2565) บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 384 ล้านบาท เติบโต 78.53% จากปี 2564 ที่มีกำไรอยู่ที่ 215 ล้านบาท และมีรายได้อยู่ที่ 1,784 ล้านบาท เติบโต 52.85%  จากปี 2564 ที่มีรายได้อยู่ที่ 1,167 ล้านบาท โดยมีปัจจัยการเติบโตมาจากการมียอดขายสะสมของปี 2565 ประมาณ 1,555 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.25 %จากปีก่อน เนื่องจากสามารถปิดการขายโครงการได้ทั้งหมด ได้แก่ โครงการ CHER วงแหวน – สาทร มูลค่าโครงการ 578 ล้านบาท และโครงการ THE GLAMOR เอกมัย – ประดิษฐ์มนูธรรม มูลค่าโครงการ 514 ล้านบาท ประกอบกับในปัจจุบันมี 3 โครงการ ที่มียอดขายไปแล้วกว่า 95% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด ได้แก่ โครงการ Cordiz at Udomsuk, โครงการ CHER วัชรพล และโครงการ CHER งามวงศ์วาน – ประชาชื่น อย่างไรก็ตามโครงการ CHER สุขสวัสดิ์-พุทธบูชา และโครงการ CHER บางขุนนนท์ ในขณะนี้สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้เรียบร้อยแล้วประมาณครึ่งหนึ่งของจำนวนบ้านทั้งโครงการ ทำให้ยอดขายสะสมของปีนี้ มีมูลค่าประมาณ 1,555 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.25 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2565  ถือว่าประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และสามารถทำรายได้สูงสุด (All –  time high) เมื่อเทียบจากการดำเนินงานตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเมื่อปี 2532 ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าการพัฒนาโครงการของบริษัทฯ สามารถตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ต้องการหาที่อยู่อาศัยได้เป็นอย่างดี สะท้อนให้เห็นถึงแผนธุรกิจของบริษัทฯที่มีความชัดเจน และมีการลงทุนอย่างรอบคอบในทุกขั้นตอน และเพื่อเป็นการสานต่อความสำเร็จนี้ บริษัทเตรียมต่อยอดพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง โดยพบกับโครงการใหม่ล่าสุด และโครงการที่กำลังจะเปิดในเร็วๆ นี้ ได้แก่ โครงการ CHERENE กรุงเทพกรีฑา – ร่มเกล้า, โครงการ CHEREA VICINITY ราชพฤกษ์ – เจษฎาบดินทร์ และโครงการ CHER ราชพฤกษ์ – พระราม 5 มูลค่าโครงการรวม 3,150 ล้านบาท เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในกลุ่มเป้าหมายในเซกเมนต์ที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงมองหาที่ดินเป็นจำนวนมากในหลากหลายทำเล เพื่อนำมาพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ที่ยังมุ่งเน้นในพอร์ตโครงการแนวราบที่มีคุณภาพ  เพื่อขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต และในปี 2566 บริษัทฯ ยังคงเป้ารายได้จะเติบโต 2 เท่าจากผลประกอบการของปี 2564 ภายใน 3 ปี ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าที่วางไว้” นายประสพศักดิ์ กล่าวในที่สุด

 

toppercool

CEO,Prop2morrow Blogger อสังหาฯ , นักการตลาดดิจิตัล สาย Content marketing