ธนาสิริฯเตรียมขยายฐานลูกค้า ควงพันธมิตรญี่ปุ่นปูพรมทำเลบางนา เจาะตลาดแนวราบ ราคา 2-4.5 ล้านบาทครั้งแรก และสบช่องว่างทำเลพุทธมณฑลสาย2-สาย3 เจาะบ้านระดับราคา 10-20 ล้านบาทขึ้นไป ทั้งรุกผนึกแลนด์ลอร์ดชิงส่วนแบ่งตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น ส่วนที่ดินสะสมจ.ภูเก็ต ยังเปิดกว้างรับพันธมิตร-เล็งซื้อที่ดินเพิ่มรองรับการพัฒนาอนาคต เปิดแผนปี66 ผุด 4 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 3,300 ล้านบาท แย้มปีหน้าจ่อชิมลางคอนโดฯร่วมทุนกลุ่ม“อนาบูกิ โคซัน” ตั้งเป้า3 ปีโกยยอดขายรวม 7,100 ล้านบาท รายได้แตะ 5,200 ล้านบาท มีสัดส่วนรายได้จากโครงการแนวราบที่ 70% และแนวสูง 30%
นายสุทธิรักษ์ เสถียรภาพอยุทธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THANA เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯปี 2566 ว่า มีปัจจัยบวกจากตลาดท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ทำให้เศรษฐกิจระดับรากหญ้าดีขึ้น และจะส่งผลให้ดีมานด์กล้าตัดสินใจซื้อบ้านมากขึ้น ส่วนเรื่องสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ไม่มีผลกระทบกับประเทศไทย แต่ในทางตรงกันข้ามนักท่องเที่ยวจะมาเที่ยวประเทศไทยมากขึ้น เพราะค่าครองชีพถูก หากซื้อบ้านหลังที่ 2-3 ก็จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เพราะราคาที่อยู่อาศัยถูกกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในแถบเอเชีย
อีกทั้งมองว่ากลุ่มกำลังซื้อระดับบนยังไม่ได้รับผลกระทบ และยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง โดยจะเฉพาะโซนตะวันออกของกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นฐานโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆของกลุ่มทุนจากญี่ปุ่นและประเทศอื่นๆ อีกทั้งอยู่ใกล้พื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ดังนั้นในปี 2566 บริษัทฯจึงมีแผนรุกพัฒนาโครงการแนวราบ ระดับราคา 2-4.5 ล้านบาทเศษ ในทำเลบางนา เป็นครั้งแรก และยังพัฒนาโครงการในทำเลพุทธมณฑลสาย2-สาย3 ในระดับราคา 10-20 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งทั้ง 2 ระดับราคา ถือเป็นโครงการที่บริษัทมองว่ายังมีช่องว่างตลาดอยู่ จึงขยายพอร์ตในระดับราคาดังกล่าวเป็นครั้งแรก เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับจากดีมานด์เป็นอย่างดี
นอกจากนี้มองว่าปัจจุบันพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล มี Red Ocean ค่อนข้างมาก จึงมีแนวความคิดที่จะขยายพอร์ตไปต่างจังหวัดมากขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้ได้ร่วมทุนกับพันธมิตรในจ.อุดรธานี พัฒนาโครงการแนวราบภายใต้แบรนด์ สิริวิลเลจ อุดรธานี-แอร์พอร์ต และ สิริวิลเลจ ภูเก็ต-อนุสาวรีย์ ซึ่งเป็นการพัฒนาเอง โดยที่ สิริวิลเลจ อุดรธานี-แอร์พอร์ต ในกลางปี 2566 มีแผนที่จะเปิดขายเฟส2 อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งบริษัทฯยังมีแผนที่จะปรับแบรนด์ “สิริวิลเลจ”ที่พัฒนาในโครงการต่างจังหวัด ให้มีแบรนด์ของธนาสิริเข้าไปด้วย เพื่อสร้างความจดจำของผู้บริโภค และหากแลนด์ลอร์ดที่ดินในต่างจังหวัดสนใจที่จะนำที่ดินว่างเปล่าให้บริษัทเข้าไปร่วมพัฒนาก็สนใจที่จะร่วมทุน ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างเจรจาอยู่ 2 ราย คือ เจ้าของที่ดินในจังหวัดทางภาคเหนือและภาคอีสาน แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
สำหรับที่จ.ภูเก็ต นั้น บริษัทยังมีที่ดินสะสมบริเวณใกล้หาดกมลา(ติดภูเก็ตแฟนตาซี) อีกประมาณ 100 ไร่ มูลค่ารวมเกือบ 800 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมามีพันธมิตรทั้งคนไทยและต่างชาติ สนใจที่จะมาร่วมทุนด้วยเป็นจำนวนมาก แต่บริษัทฯก็ยังไม่ตัดสินใจเลือก เพราะต้องเลือกพันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์ไปในทิศทางเดียวกัน แต่ก็ยังเปิดโอกาสที่จะรับพันธมิตรเข้ามาร่วมทุนอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีแผนที่จะซื้อที่ดินในทำเลติดกัน เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในอนาคตด้วย
อย่างไรก็ตามในปีที่ผ่านมามีการเติบโตในเชิงตัวเลขอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก โดยมุ่งเน้นกลยุทธ์การเติบโตอย่างสมดุล ความน่าอยู่และยั่งยืน พร้อมด้วยการพัฒนาโครงการที่ต่อเนื่องร่วมกับพันธมิตรกลุ่มต่างๆ และการขยายธุรกิจใหม่ๆ อาทิ บริการลิฟวิ่ง โซลูชั่น (Living Solutions) ที่มุ่งเน้นบริการที่เข้าถึง เข้าใจตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยได้อย่างแท้จริง และธุรกิจเวลเนส (Wellness) ให้สอดคล้องกับเทรนด์ใหม่ๆ โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ตามพฤติกรรมของผู้บริโภคและสภาวะของตลาด เพื่อเร่งหาโอกาสทางธุรกิจที่คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น และเพิ่มโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกัน ยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการที่สร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ไม่ได้ต้องการแค่ฟังก์ชั่นของบ้าน แต่ต้องการบ้านที่สะท้อนตัวตนของผู้อยู่อาศัย มุ่งมั่นส่งมอบบ้าน และ “สังคมน่าอยู่” ให้เหมาะกับคนทุกวัย
โดยปัจจัยที่ส่งให้ธนาสิริฯมีก้าวต่อไปที่เติบโตน่าอยู่ยั่งยืน เนื่องจากบริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมคุณภาพชีวิตของลูกค้าที่ไม่ใช่เพียงการพัฒนาบ้านที่มีคุณค่า แต่ให้ความสำคัญในมิติของคุณภาพชีวิตที่ดีตลอดระยะเวลาการเป็นลูกค้า ภายใต้พันธกิจ “Lifetime Total Living Solution” รวมถึงผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม สังคม และสิ่งแวดล้อม ตอกย้ำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development : ESG) ที่สร้างสมดุลของผลประกอบการในเชิงตัวเลข เพื่อเติบโตไปพร้อมกับลูกค้า เพื่อนบ้านข้างเคียง สังคม และร่วมลดผลกระทบและพัฒนาสิ่งแวดล้อมในทุกๆ ด้าน ซึ่งความสำเร็จที่เกิดขึ้นสะท้อนผ่านผลประกอบการที่เติบโตทั้งยอดขาย และรายได้ โดยในปี 2565 ที่ผ่านมาบริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้ 1,422 ล้านบาท ขณะที่รายได้ก็เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้คือ 1,024 ล้านบาท และประสิทธิภาพการทำกำไรสุทธิกว่า 12% มากกว่าปีที่ผ่านมากว่า 3 เท่าตัว
ส่วนปี 2566 นี้บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เติบโตจากปีก่อนประมาณ 30% โดยเป้ายอดขายอยู่ที่ 1,800 ล้านบาท และเป้ารายได้อยู่ที่ 1,300 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา และขาย 5 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) 198 ล้านบาท (สิ้นเดือน ธันวาคม 2565) และภายในระยะเวลา 3 ปีนี้ (2566-2568)ตั้งเป้ายอดขายรวมที่ 7,100 ล้านบาท และรายได้รวมที่ 5,200 ล้านบาท โดยจะมีสัดส่วนรายได้จากโครงการแนวราบที่ 70% และแนวสูง 30%
ด้าน นายจรัญ เกษร ประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฏิบัติการ บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THANA กล่าวว่า ปัจจัยที่ส่งผลให้การเติบโตในเชิงตัวเลขของยอดขายและรายได้เป็นไปตามเป้าหมายวางไว้นั้นมาจากการดำเนินธุรกิจผ่านกลยุทธ์ THANA GREEN เน้นตอบโจทย์ความคุ้มค่า ควบคู่คุณภาพในทุกโครงการที่พัฒนา เพื่อการอยู่อาศัย และการใช้ชีวิต ในสังคมแห่งการแบ่งปัน ตลอดจนการดูแลสิ่งแวดล้อม อันเป็นแนวคิดหลักของการทำธุรกิจที่ไม่ได้มุ่งเน้นแค่เชิงตัวเลข ควบคู่ไปด้วยคุณค่าของการอยู่อาศัยในแนวทาง “Total Green Real Estate Development – Service
ส่วนแผนการลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในปี 2566 นั้น กล่าวว่ายังคงเน้นที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบลักษณะบ้านเดี่ยว, บ้านแฝด และทาวน์เฮาส์ เบื้องต้นมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่ 4 โครงการ รวมมูลค่า 3,300 ล้านบาท (มากกว่าปี 2565 ที่เปิดตัวใหม่เพียง 2 โครงการ มูลค่า 1,570 ล้านบาท) ได้แก่
1.โครงการ “ธนาวิลเลจ บางนา-บางบ่อ” ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ขยายฐานมาทำเลดังกล่าว โดยเป็นการร่วมทุนโครงการที่ 3 กับกลุ่มทุนญี่ปุ่น “อนาบูกิ โคซัน” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 38 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบของทาวน์เฮาส์และบ้านแฝด ขนาด 35-45 ตารางวา ราคา 2.9-4.5 ล้านบาท จำนวน 348 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,010 ล้านบาท โดยจะเปิดพรีเซลในไตรมาส 2/2566
2.โครงการ “ธนาเรสซิเดนซ์ บรมราชชนนี-ปิ่นเกล้า” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 23 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว ขนาด 100-120 ตารางวา ราคา 17-23 ล้านบาท จำนวน 52 ยูนิต มูลค่าโครงการ 890 ล้านบาท โดยจะเปิดพรีเซลในไตรมาส 2/2566
3.โครงการ “ธนาฮาบิแทต นนทบุรี” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 19 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ขนาด 35-60 ตารางวา ราคา 6-9 ล้านบาท จำนวน 100 ยูนิต มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท โดยจะเปิดพรีเซลในไตรมาส 3/2566
4.โครงการ “ธนาฮาบิแทต”บริเวณถนนราชพฤกษ์ นนทบุรี ตั้งอยู่บนพื้นที่ 20 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ขนาด 35-60 ตารางวา ราคา 8-9 ล้านบาท จำนวน 100 ยูนิต มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท โดยจะเปิดพรีเซลในไตรมาส 4/2566
ทั้งนี้โครงการที่เปิดใหม่นั้นนอกจากจะอยู่ในทำเลแถวนนทบุรีแล้ว ยังได้ขยายตัวสู่ทำเลอื่นที่มีศักยภาพ และมีความต้องการซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยจริงโดยเฉพาะทำเลย่านบางนา โดยมุ่งหวังขยายฐานกลุ่มลูกค้า และพัฒนาสินค้าให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ (Segment) ตอบโจทย์แผนการเติบโตใน 3 ปีข้างหน้า ปีละ 30% ซึ่งรวมทั้งการพัฒนาโครงการอาคารชุดพักอาศัย (คอนโดมิเนียม) เพื่อรองรับแผนการเติบโตด้านรายได้ โดยกลุ่มเป้าหมายคนเจนใหม่วัยทำงานระดับกลาง-ล่าง ที่ต้องการอยู่อาศัยจริงเป็นบ้านหลังแรก
โดยในปี 2567 บริษัทฯมีแผนจะพัฒนาคอนโดฯโครงการแรก เนื่องจากกลุ่ม “อนาบูกิ โคซัน” ซึ่งเป็นพันธมิตรมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการทั้งแนวสูงและแนวราบ มีความสนใจจะพัฒนาโครงการคอนโดฯด้วย สูงประมาณ 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร จำนวนประมาณ 100-200 ยูนิต ราคาขายประมาณ 1 ล้านบาทบวกลบ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการมองหาที่ดินที่มีศักยภาพ ซึ่งมอทำเลในเมืองที่มีความหนาแน่นของชุมชน ใกล้สถานีรถไฟฟ้า เดินทางสะดวก และเน้นการกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงาน ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงไม่ใช่เพื่อการลงทุน คาดว่าจะได้ที่ดินในปลายปี 2566 นี้ โดยที่ดินที่ต้องการจะอยู่ที่ประมาณ 1-2 ไร่ขึ้นไป
“เรามีพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแรงอย่าง อนาบูกิ โคซัน มีทีมบริหารที่มีศักยภาพ และเป็นมืออาชีพที่คร่ำหวอดในวงการมาเสริมความแข็งแกร่งขององค์กร ความพร้อมเหล่านี้ทำให้เรามีความเชื่อมั่นว่า ในอนาคตธนาสิริจะมีย่างก้าวที่เติบโตขึ้นอย่างมั่นคงและยั่งยืน (Return on Sustainability) เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้อยู่อาศัย” นายจรัญ กล่าวในที่สุด