ตลาดอสังหาฯ กรุงเทพฯ-ปริมณฑลไตรมาส 4ปี’65 เปิดขายใหม่ 2.8 หมื่นยูนิตโต15.5%

You are currently viewing ตลาดอสังหาฯ กรุงเทพฯ-ปริมณฑลไตรมาส 4ปี’65 เปิดขายใหม่ 2.8 หมื่นยูนิตโต15.5%

ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯเผยผลสำรวจตลาดที่อยยู่อศัยสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยไตรมาส 4  ปี 2565 พื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลเติบโตต่อเนื่อง มีอุปทานเสนอขายในตลาดกว่า 2 แสนยูนิต เพิ่มขึ้น 4% บ้านจัดสรรเปิดตัวเยอะสุด 1.28 แสนยูนิต ขณะที่สินค้าเปิดขายใหม่มี 27,759 ยูนิต เพิ่มขึ้น 15.5% ทำเลบางพลี-บางเสาธงเปิดตัวมากสุดกว่า 5 พันยูนิต ส่วนสินค้าขายได้ใหม่เพิ่ม 5.1%จำนวน 11,282 ยูนิต แต่สต็อกสินค้าเหลือขายยังสูงถึง 184,523 ยูนิต มูลค่าแตะ 9.16 แสนล้าน

ดร. วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยถึงผลการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลช่วงไตรมาส 4 ปี 2566 ว่า มีจำนวนอุปทานเสนอขายอยู่ในตลาดรวมทั้งสิ้น 205,806 ยูนิต เพิ่มขึ้น 4.0% มูลค่า 1,034,031 ล้านบาท แบ่งเป็นอาคารชุด  76,930 ยูนิต  มูลค่า 322,772 ล้านบาท และบ้านจัดสรร 128,876 ยูนิต มูลค่า 711,259 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่  27,759 ยูนิต เพิ่มขึ้น 15.5%  มูลค่า 160,877 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.6%  แบ่งเป็นอาคารชุด 13,431 ยูนิต  มูลค่า 45,291 ล้านบาท และบ้านจัดสรร  14,328 ยูนิต มูลค่า 115,586 ล้านบาท

สำหรับทำเลที่มีจำนวนอุปทานเสนอขายสูงที่สุด ประกอบด้วย ทำเลบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง มีจำนวนหน่วยเสนอขายทั้งสิ้น 22,564 ยูนิต   มูลค่า 126,578 ล้านบาท,ทำเลบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย จำนวน 18,748 ยูนิตมูลค่า 85,683 ล้านบาท

ทำเลเมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ จำนวน 15,451 ยูนิต มูลค่า 51,759 ล้านบาท,ทำเลลำลูกกา-ธัญบุรี จำนวน 15,308 ยูนิต มูลค่า 56,318 ล้านบาท และทำเลเมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก จำนวน 12,945 ยูนิต มูลค่า 47,113 ล้านบาท

สำหรับทำเลอาคารชุดที่มีอุปทานเสนอขายมากสุด ประกอบด้วย ทำเลห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง จำนวน 9,403 ยูนิต มูลค่า 37,532 ล้านบาท,ทำเลพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ จำนวน 8,645 ยูนิต มูลค่า 24,894 ล้านบาท,ทำเลธนบุรี-คลองสาน-บางกอกน้อย-บางกอกใหญ่-บางพลัด จำนวน 8,445 ยูนิต มูลค่า 26,998 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีทำเลสุขุมวิท จำนวน 7,202 ยูนิต มูลค่า 62,460 ล้านบาท และทำเลเมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด จำนวน 6,717 หน่วย มูลค่า 15,825 ล้านบาท

ส่วนทำเลบ้านจัดสรรที่มีอุปทานเสนอขายสูงสุด  ประกอบด้วย ทำเลบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง จำนวน 19,090 หน่วย มูลค่า 11,367 ล้านบาท,ทำเลบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย จำนวน 17,983 ยูนิต มูลค่า 84,644 ล้านบาท,ทำเลลำลูกกา-ธัญบุรี จำนวน 14,714 ยูนิต มูลค่า 55,744 ล้านบาท,ทำเลคลองหลวง-หนองเสือ จำนวน 11,108 ยูนิต มูลค่า 41,983 ล้านบาท และทำเลเมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก จำนวน 11,036 ยูนิต มูลค่า 44,479 ล้านบาท

ทั้งนี้หากแยกตามระดับราคา พบว่าโครงการอาคารชุดระดับราคา 2.01-3 ล้านบาท มีจำนวนอุปทานเสนอขายสูงสุด 26,226 ยูนิต ขณะที่โครงการบ้านจัดสรรระดับราคา 3.01-5 ล้านบาท มีจำนวนเสนอขายสูงสุด 41,571 ยูนิต

ด้านโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่  27,759 ยูนิตในช่วงไตรมาส 4 ที่ผ่านมา ทำเลที่มีหน่วยเปิดขายใหม่สูงสุด คือ ทำเลบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง จำนวน 5,092 ยูนิต มูลค่า 29,644 ล้านบาท,ทำเลราษฎร์บูรณะ-บางขุนเทียน-ทุ่งครุ-บางบอน-จอมทอง จำนวน 2,831 ยูนิต มูลค่า 12,635 ล้านบาท และทำเลพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ จำนวน 2,421 ยูนิต มูลค่า 17,247 ล้านบาท เป็นต้น

ดร.วิชัยกล่าวว่า ด้านอุปสงคที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่ในช่วงไตรมาส 4 ที่ผ่านมามีจำนวน 21,282 ยูนิต เพิ่มขึ้น 5.1% มูลค่ารวม 117,622 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการอาคารชุด 8,618 ยูนิตมูลค่า 34,513 ล้านบาท และโครงการบ้านจัดสรร 12,664 ยูนิต มูลค่ารวม 83,108 ล้านบาท โดยทำเลที่มีหน่วยขายได้ใหม่สูงสุดประกอบด้วย ทำเลบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง จำนวน 3,600 ยูนิต มูลค่า 19,651 ล้านบาท1,ทำเลเมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ จำนวน 1,852 ยูนิต มูลค่า 7,257 ล้านบาท

ทำเลพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ จำนวน 1,793 ยูนิต มูลค่า 11,249 ล้านบาท,ทำเลหลักสี่-ดอนเมือง-สายไหม-บางเขน จำนวน 1,178 ยูนิต มูลค่า 7,846 ล้านบาท และทำเลบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย จำนวน 1,127 ยูนิต มูลค่า 5,433 ล้านบาท

ทั้งนี้หากเป็นทำเลของโครงการอาคารชุดที่ขายได้ใหม่มากสุด ประกอบด้วย ทำเลพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ จำนวน 1,350 ยูนิต มูลค่า 3,641 ล้านบาท,ทำเลบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง จำนวน 1,339 ยูนิต มูลค่า 4,724 ล้านบาท,mทำเลห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง จำนวน 1,031 ยูนิต มูลค่า 3,954 ล้านบาท และทำเลสุขุมวิท จำนวน 970 ยูนิต มูลค่า 7,256 ล้านบาท เป็นต้น

อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาจากอัตราดูดซับทุกระดับราคา พบว่าอัตราดูดซับในไตรมาส 4 ปี 2565 ยังคงทรงตัวที่ 3.4% เมื่อเทียบกับอัตราดูดซับในช่วงไตรมาส 3 เนื่องจากสินค้าขายได้ใหม่มีอัตราการเพิ่มขึ้นน้อยกว่าสินค้าใหม่ที่เข้ามาในตลาด โดยมีจำนวนที่อยู่อาศัยใหม่เข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้นถึง 15.5% ขณะที่จำนวนการขายได้ใหม่กับเพิ่มขึ้นเพียง 5.1% เท่านั้น ส่งผลให้มีจำนวนที่อยู่อาศัยเหลือขายจำนวนทั้งสิ้น 184,524 ยูนิต เพิ่มขึ้น 3.8% มูลค่ารวม 916,410 ล้านบาท แบ่งเป็นอาคารชุด 68,312 ยูนิต มูลค่ารวม 288,259 ล้านบาท และบ้านจัดสรร 116,212 ยูนิต มูลค่ารวม 628,151 ล้านบาท