คาดการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยภาคใต้ยังสดใส-มีศักยภาพสูงต่อไปในอนาคต

  • Post author:
You are currently viewing คาดการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยภาคใต้ยังสดใส-มีศักยภาพสูงต่อไปในอนาคต
ผลสำรวจสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยจังหวัดภาคใต้ในพื้นที่ 4 จังหวัดภาคใต้ พบจ.ภูเก็ต และอ.หาดใหญ่ .สงขลา มีการ Recover ของตลาดค่อนข้างดีขึ้น โดยเฉพาะภูเก็ตมีความโดดดเด่นที่สุดในประเทศ การฟื้นตัวของอาคารชุดบ้านจัดสรรดีขึ้น ด้านหาดใหญ่ การฟื้นตัวของบ้านจัดสรรอยู่ในเกณฑ์ที่ทยอยตั้งหลักที่ดี คาดว่าจะไปในทิศทางที่ดีต่อเนื่อง ขณะที่สุราษฎร์ธานีนครศรีธรรมราช ที่อยู่ในช่วงปรับฐาน คาดมีโอกาสขยายตัวได้ในอนาคต ความสมดุลของดีมานด์ซัพพลายค่อนข้างดี
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร และรักษาการอำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์(REIC)ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) เปิดเผยถึง สถานการณ์ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัย 4 จังหวัดภาคใต้ที่ยังอยู่ระหว่างขายในช่วงครึ่งหลังปี  2565 ว่า ที่ผ่านมาเป็นภาคที่ได้รับผลกระทบในเชิงบวกจากธุรกิจท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้นตัวค่อนข้างเด่นชัด ถือเป็นโอกาสทางธุรกิจ สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในภาคใต้ โดยภาคใต้มีทั้งหมด 10 กว่าจังหวัด แต่ทางศูนย์ข้อมูลฯเข้าไปสำรวจเพียง 4 จังหวัดหลัก คือ ภูเก็ต สงขลา สุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช เพราะถือว่าเป็นพระเอกในพื้นที่ทางด้านอสังหาฯ โดยเบื้องต้นหากมองภาพรวมทั้งหมด จะเห็นว่ามีอุปทานพร้อมขายจำนวนประมาณ 17,564 หน่วย มูลค่า 77,112 ล้านบาทและมีการเสนอขายในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 โดยแบ่งเป็นบ้านจัดสรร ประมาณ 12,000 หน่วย และคอนโดมิเนียม ประมาณ  4,600 หน่วย ซึ่งมีการขยายตัว YoY ร้อยละ 0.8 และ 1.3 ตามลำดับ สาเหตุที่ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยมีการขยายตัวลงน้อยเช่นนี้ เป็นผลมาจากที่อุปทานอาคารชุดเสนอขายหดตัวลงอย่างมากทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าถึงร้อยละ -20.6 และ -17.6 ตามลำดับ โดยพบว่าจังหวัดสงขลาและนครศรีธรรมราชไม่มีการเปิดตัวใหม่เลยส่วนจังหวัดภูเก็ตและสุราษฎร์ธานีที่มีการเปิดตัวโครงการอาคารชุดใหม่ในช่วงการสำรวจไม่มาก จำนวน 350 และ 459 หน่วย ขณะที่บ้านจัดสรรมีหน่วยเสนอขายขยายตัวทั้งหน่วยและมูลค่าถึงร้อยละ 11.6 และ 11.3 ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มขึ้นมากในจังหวัดสงขลาและสุราษฎร์ธานี ส่วนจังหวัดภูเก็ตและนครศรีธรรมราชยังมีการเปิดตัวโครงการใหม่น้อยมาก

ทั้งนี้ในภาพรวมในภาคใต้ 4 จังหวัดมีหน่วยเปิดตัวใหม่เข้าสู่ตลาด 1,929 หน่วย มูลค่า 8,440 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 และ 20.5 ตามลำดับ ขณะที่มีโครงการขายได้ใหม่จำนวน4,242 หน่วย มูลค่า 16,619 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 110.9 และ 109.8 ตามลำดับ ส่งผลให้มีหน่วยเหลือขาย 13,322 หน่วย มูลค่า 60,493 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ -13.6 และ -11.3 ตามลำดับ โดยอัตราดูดซับของภาพรวมตลาดอยู่ที่ร้อยละ 4.0 โดยจังหวัดภูเก็ตมีอัตราดูดซับบ้านจัดสรรสูงสุดร้อยละ 4.9 และสุราษฎร์ธานี มีอัตราดูดซับอาคารชุดสูงสุดร้อยละ 7.8 และถือว่าเป็นอัตราการดูดซับที่สูงกว่าช่วงก่อนหน้า เนื่องจากยอดขายในพื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับ 5 ทำเล ที่มีจำนวนหน่วยเหลือขายมากที่สุดใน 4 จังหวัดภาคใต้ คือ

1.ทำเลเทพกระษัตรีศรีสุนทร (ภูเก็ต) จำนวน 1,523 หน่วย มูลค่า 5,842 ล้านบาท

2.ทำเลเกาะแก้วรัษฎา (ภูเก็ต) จำนวน 1,069 หน่วย มูลค่า 8,123 ล้านบาท 

3.ทำเลประดู่บางชุมโถ (สุราษฎร์ธานี) จำนวน 896 หน่วย มูลค่า 2,419 ล้านบาท

4.ทำเลหาดบางเทาหาดสุรินทร์ (ภูเก็ต) จำนวน 798 หน่วย มูลค่า 4,444 ล้านบาท 

5.ทำเลท่าข้ามควนหิน (สงขลา) จำนวน 771 หน่วย มูลค่า 3,368 ล้านบาท

โดยระดับราคาที่มีหน่วยเหลือขายมากที่สุดคือ 3.01-5.00 ล้านบาท มีจำนวนถึง 4,882 หน่วยมูลค่า 20,246 ล้านบาท

ในด้านภาพรวมอุปสงค์ พบว่าในช่วงครึ่งหลังปี 2565 มีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่ 4,242 หน่วยมูลค่า 16,619 ล้านบาท  แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 2,676 หน่วย มูลค่า 10,544 ล้านบาทและอาคารชุด 1,566 หน่วย มูลค่า 6,075 ล้านบาท ซึ่งทำเลที่มีหน่วยขายได้สูงสุด  5 อันดับแรกคือ

1.เกาะแก้วรัษฎา (ภูเก็ต)  จำนวน 1,132 หน่วย มูลค่า 4,544 ล้านบาท 

2.หาดในยางหาดไม้ขาว (ภูเก็ต) จำนวน 616 หน่วย มูลค่า 1,951 ล้านบาท

3.ประดู่บางชุมโถ (สุราษฎร์ธานี) จำนวน 382 หน่วย มูลค่า 1,083 ล้านบาท

4.หาดบางเทาหาดสุรินทร์ (ภูเก็ต) จำนวน 246  หน่วย มูลค่า 1,286 ล้านบาท

5.พัฒนาการคูขวาง (นครศรีธรรมราช) จำนวน หน่วย 179 มูลค่า 910 ล้านบาท

จังหวัดภูเก็ต

มีที่อยู่อาศัยเสนอขายรวมทั้งสิ้น 8,238 หน่วย มูลค่า 40,987 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -2.0 และ ร้อยละ -2.4 โดยแบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 4,549 หน่วย มูลค่า 22,370 ล้านบาท โครงการอาคารชุด 3,689 หน่วย มูลค่า 18,617 ล้านบาท ถือว่าเป็นจังหวัดที่มีคอนโดฯในสัดส่วนถึง 80% ในจำนวน 4 จังหวัดหลักทางภาคใต้ 

โดยในช่วงครึ่งหลังปี 2565 มีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวน 498 หน่วย ลดลงร้อยละ -19.2 มูลค่า 3,323 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 36.0 ส่วนจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ มีจำนวน2,509 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 207.9 มูลค่า 10,342 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 172.6 และจำนวนหน่วยเหลือขาย 5,729 หน่วย ลดลงร้อยละ -24.5  มูลค่า 30,645 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -19.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 (YoY)  

.ภูเก็ต มีหน่วยที่นำเสนอขาย มีตัวเลขติดลบประมาณ 2% เมื่อเทียบกับครึ่งปีหลัง 2564 ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนอะไรบางอย่าง โดยซัพพลายที่เป็นคอนโดฯทยอยลดลงอย่างต่อเนื่องในภาวะช่วงวิกฤติโควิด-19 แต่ในส่วนของบ้านจัดสรร กลับเพิ่มขึ้นในทุกๆประเภทถึง 28% แต่โดยภาพรวมการเปิดตัวใหม่ของทั้งจ.ภูเก็ต ในช่วงไตรมาสหลังของปี 2565 พบว่ามีการเปิดตัวใหม่ประมาณเกือบ 500 หน่วย ลดลงเกือบ 20% ซึ่งเป็นการเปิดตัวโดยบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถึง 100% โดยพบว่าบ้านจัดสรรที่เปิดตัวส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณหาดบางเทา และหาดสุรินทร์ จำนวนประมาณ 300 กว่าหน่วย ,บริเวณเกาะแก้วรัษฎา ประมาณ128 หน่วย ส่วนใหญ่เป็นบ้านเดี่ยว ระดับราคา 7.5-10 ล้านบาท ซึ่งราคาขายค่อนข้างสูงเนื่องจากที่ดินมีราคาแพง และบริเวณเทพกระษัตรีศรีสุนทร อีกประมาณ 20 หน่วย ส่วนใหญ่ราคา 2-3 ล้านบาท ซึ่งไม่มีนัยอะไรมากนักดร.วิชัย กล่า 

ส่วนคอนโดฯมีการเปิดตัวเพียง 2 โครงการ ในย่านหาดบางเทา และหาดสุรินทร์ ในระดับราคา3-5 ล้านบาท รวมประมาณ 300 กว่าหน่วย สำหรับยอดขายใหม่โดยรวมที่เกิดขึ้นในครึ่งหลังของปี 2565 จะอยู่ที่ประมาณ 2,509 หน่วย และคอนโดฯ ขายได้ 1,165 หน่วย ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่หาดในยางและหาดไม้ขาว เป็นหลักในระดับราคา 2-5 ล้านบาท รองลงมาเป็นพื้นที่หาดบางเทา หาดสุรินทร์ ถัดไปเป็นทำเลหาดราไวย์ ระดับราคา 5-7.5 ล้านบาท

สำหรับบ้านแฝดและทาวน์เฮาส์นั้นมีความน่าสนใจ เพราะมียอดขายแบบก้าวกระโดด จำนวน572 หน่วย ถือว่าตอบสนองผู้บริโภคได้ดี ทำให้เห็นภาพตลาดอสังหาฯภูเก็ตว่ามีการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นหลังวิกฤติโควิด-19 ถือว่ามีความโดดเด่น เมื่อเทียบกับจังหวัดอื่นๆ

ด้านอัตราการดูดซับ โดยคอนโดฯหาดในยาง หาดไม้ขาว มีอัตราการดูดซับประมาณ 609 หน่วย รองลงมาคือทำเลหาดบางเทา หาดสุรินทร์ มีอัตราการดูดซับที่ 246 หน่วย ส่วนหาดราไวย์ มีอัตราการดูดซับ 132 หน่วย

ส่วนหน่วยเหลือขายทั้งหมดในทุกประเภทจะอยู่ที่ประมาณ 5,729 หน่วย โดย 1,590 หน่วย เป็นที่อยู่อาศัยที่สร้างเสร็จแล้ว แต่ยังไม่สามารถระบายขายออกไปได้ โดยประมาณ 35 หน่วย เป็นอาคารชุดที่สร้างแล้วยังไม่สามารถขายได้ ส่วนบ้านจัดสรรอีกประมาณ 1,000 กว่าหน่วย จะกระจายอยู่ใน 3 กลุ่ม คือ ทาวน์เฮาส์ 482 หน่วย บ้านเดี่ยว 324 หน่วย และบ้านแฝด 305 หน่วยก็จะเห็นว่า 1 ใน 3 หรือ 1 ใน 4 เป็นหน่วยที่สร้างเสร็จแล้วแต่ยังไม่สามารถขายได้(Inventory)ลดลงจากเดิมค่อนข้างมาก หากการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้มาก ก็จะทำให้อัตราการดูดซับในส่วนดังกล่าวหมดไปได้เร็วขึ้น 

บ้านจัดสรรที่สร้างเสร็จแล้วเหลือขาย ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่สูงอยู่ เพราะชาวต่างชาติไม่สามารถซื้อเป็นกรรมสิทธิ์ได้โดยตรง หากการท่องเที่ยวกลับมาก็จะทำให้ฟื้นตัวได้เร็วๆยิ่งขึ้นดร.วิชัยกล่าว

สำหรับบ้านเดี่ยว ในจ.ภูเก็ต จะเหลือประมาณ 324 หน่วย ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับช่วงก่อนวิกฤติโควิด-19 ค่อนข้างมาก ส่วนบ้านแฝด ลดลงมาเล็กน้อย ด้านทาวน์เฮาส์ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่สูงอยู่ 

โดยหน่วยเหลือขายจะกระจายไปตามส่วนต่างๆ ซึ่งอาคารชุดที่สร้างเสร็จแล้ว แต่ยังมีเหลือมากสุดอยู่บริเวณหาดในทอน ลองรองมาจะเป็นทำเลหาดกมลา หาดในยางและหาดไม้ขาว 

จังหวัดสงขลา

มีที่อยู่อาศัยเสนอขายรวมทั้งสิ้น 4,101 หน่วย มูลค่า 16,728 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ3.4 และ ร้อยละ 9.8 โดยแบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรรมากถึง 3,649 หน่วย มูลค่า 15,443 ล้านบาท โครงการอาคารชุด 452 หน่วย มูลค่า 1,285 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งหลังปี 2565 มีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวน 523 หน่วย ลดลงร้อยละ -20.5 มูลค่า 2,234 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -3.3  ส่วนจำนวนหน่วยขายได้ใหม่มีจำนวน 664 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.1 มูลค่า2,482 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.9และจำนวนหน่วยเหลือขาย 3,437 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 มูลค่า 14,247 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.1  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 (YoY)  

.สงขลา มีการเปิดตัว บ้านจัดสรรมากถึง 3,650 หน่วย พบว่ามีการเปิดตัวใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยหน่วยใหม่ที่เปิดตัวขึ้นมาพบว่าบ้านจัดสรร เป็นการเปิดตัวโดยผู้ประกอบการนอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นหลัก ขณะที่ผู้ประกอบการที่จดเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯจะเข้ามาในบางช่วงเท่านั้น โดยเป็นการเปิดตัวบ้านเดี่ยวประมาณ 61-62% ระดับราคา 2-3 และ 3-5 ล้านบาท และมี 5-7.5 ล้านบาทประมาณ18% สำหรับยอดเปิดตัวใหม่พบว่าจะอยู่ในย่านน้ำน้อย,ท่าข้ามโยนหิน,บ้านพรุ,คลองแห และคอหงส์ดร.วิชัย กล่าว

หากแยกทำเลที่มีบ้านจัดสรรเปิดมากที่สุดคือย่านน้ำน้อย จำนวน 221 หน่วย เป็นบ้านเดี่ยว55% ,บ้านแฝด 22% และทาวน์เฮาส์ 22% ระดับราคาส่วนใหญ่อยู่ที่ 3-5 ล้านบาท ลำดับถัดไปคือท่าข้ามโยนหิน พบว่าส่วนใหญ่เป็นการเปิดขายบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดเท่านั้น ระดับราคาอยู่ที่ประมาณ 2-3 ล้านบาท สัดส่วนประมาณ 60% และที่เหลือเป็นสัดส่วน 3-5 ล้านบาท  ส่วนย่านบ้านพรุ มีการเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยว สัดส่วนประมาณ 70% และบ้านแฝด 30% ราคาประมาณ 5-7.5 ล้านบาท และ 3-5 ล้านบาท 

สำหรับคอนโดฯแม้จะไม่มีการเปิดตัวใหม่ แต่สต๊อกเดิมก็ยังขายได้อย่างต่อเนื่อง และยังมีความต้องการอย่างสม่ำเสมอ โดยในช่วงครึ่งปีแรกของ 2565 มียอดขายประมาณ 100 กว่าหน่วย ส่วนใหญ่อยู่ในอ.หาดใหญ่ เป็นหลัก ราคาขายอยู่ที่ประมาณ 2-3 ล้านบาท และ 3-5 ล้านบาท และอ.คอหงส์ ระดับราคาขายอยู่ที่ 1.5-3 ล้านบาท  ถือเป็นยอดขายสัดส่วน 23% ของทั้งจังหวัด 

ส่วนบ้านจัดสรรก็ยังมียอดขาย ประมาณ 523 หน่วย แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว 322 หน่วย กระจายตัวอยู่ในหลายพื้นที่ ทำเลที่ขายดีสุดคือท่าข้ามโยนหิน ขายได้ประมาณ 141 หน่วย ส่วนใหญ่เป็นบ้านเดี่ยวประมาณ 79% และอีก 20% เป็นทาวน์เฮาส์ และบ้านแฝดเล็กน้อย ระดับราคาที่ขายอยู่ที่ 3-5 ล้านบาทเป็นหลัก ,โซนบ้านพรุ มียอดขาย 63 หน่วย ยอดขายมาจากบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ประมาณ 85% เป็นหลัก ราคาขายอยู่ที่ 3-5 ล้านบาท และ 5-7.5 ล้านบาท ส่วนทาวน์เฮาส์มียอดขายเพียงเล็กน้อย สำหรับทำเลคลองแห ยอดขายมีการปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบระหว่างครึ่งปีแรกและครึ่งปีหลังของ 2565 ส่วนทำเลย่านน้ำน้อย เมื่อเทียบระหว่างครึ่งปีแรกและครึ่งปีหลังของ 2565 ถือว่ามียอดขายที่ลดลงเล็กน้อย 

การเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวในจ.สงขลา ก็มีส่วนช่วยให้ภาคอสังหาฯในจังหวัดฟื้นตัวดีขึ้น โดยบ้านเดี่ยว มียอดขายที่เพิ่มมากขึ้นอย่างเด่นชัดบวกถึง 37% ขณะที่บ้านแฝด อาจจะลดลงไปประมาณ 30% แต่ดีมานด์ก็อาจจะมีการซื้อบ้านแฝดเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต สำหรับทาวน์เฮาส์นั้นค่อนข้างทรงตัว อยู่ที่ประมาณ 21% แต่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่สม่ำเสมอ เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2565 

โดยภาพรวมถือว่าฟื้นตัวดีขึ้น คอนโดฯมีการตอบสนองที่ดี ในส่วนของบ้านจัดสรรนั้น บ้านเดี่ยวก็มียอดขายที่โดดเด่น ส่วนบ้านแฝดและทาวน์เฮาส์ อยู่ในช่วงฟื้นตัวกลับคืนสู่ตลาด และคิดว่าน่าจะเติบโตได้ ทั้งนี้บริษัทที่ได้รับผลประโยชน์ของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ทำให้มียอดขายใหม่ที่ดีขึ้น จะเป็นผู้ประกอบการนอกตลาดหลักทรัพย์เป็นผู้เล่นในตลาดหลัก เกือบ 100% ที่เป็นคอนโดฯ และเกือบ 90% ที่เป็นบ้านจัดสรรดร.วิชัย กล่าว

สำหรับภาพรวมตลาดสงขลา ที่เป็นยอดขายใหม่ พบว่าย่านสะเดา และเมืองหาดใหญ่ โดยพบว่าเป็นยอดขายบ้านเดี่ยว 44% บ้านแฝด 10% ทาวน์เฮาส์ 20% และคอนโดฯ 23% ด้านอัตราการดูดซับเพิ่มขึ้น สูงกว่าเกณฑ์ค่าเฉลี่ยในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ประมาณ 3% กว่าๆ โดยอาคารชุด มียอดขายที่ดีขึ้น แต่จำนวนซัพพลายลดลง ขณะเดี่ยวกันบ้านจัดสรร ที่มีการเปิดตัวมากขึ้น ก็มีการปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยโซนที่มีตัวเลขที่ดี ทั้งอัตราการขายและอัตรการการดูดซับ ก็คือ ท่าข้ามโยนหิน ส่วนบ้านพรุ และน้ำน้อย ยังน้อยกว่าค่าเฉลี่ยทั้งหมดของบ้านจัดสรรที่เปิดขายในจังหวัดสงขลา 

ส่วนหน่วยเหลือขาย จากภาพรวมทั้งตลาด 3,400 หน่วย มีหน่วยเหลือขายที่สร้างแล้วเสร็จ แต่ยังไม่สามารถขายได้อยู่ที่ประมาณ 900 หน่วย แบ่งเป็นอาคารชุด 220 หน่วย และบ้านจัดสรร680 หน่วย เป็นบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ เป็นหลัก โดยอยู่ในทำเลหลัก คือ ท่าข้ามโยนหิน บ้านพรุ และถ.ลพบุรีราเมศวร์ 

 จังหวัดสุราษฎร์ธานี

ที่อยู่อาศัยเสนอขายรวมทั้งสิ้น 3,322 หน่วย มูลค่า 11,713 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.9 และ ร้อยละ 18.7 โดยแบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 2,798 หน่วย มูลค่า 9,931 ล้านบาท โครงการอาคารชุด 524 หน่วย มูลค่า 1,782 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งหลังปี 2565 มีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวน 864 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 56.2 มูลค่า 2,740 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.4 ส่วนจำนวนหน่วยขายได้ใหม่มีจำนวน 676 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 70.7 มูลค่า 2,168 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 65.5 และจำนวนหน่วยเหลือขาย 2,646 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.2 มูลค่า 9,545 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.6  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 (YoY)

“จ.สุราษฎร์ธานี มีการเปิดตัวบ้านจัดสรร 2,800  หน่วย โดยภาพรวมตลาดที่มีการนำเสนอขายเพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบจากช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจากการมีการพัฒนาคอนโดฯ เนื่องจากมีพัฒนาโครงการขึ้นมาในพื้นที่ 1 โครงการ จำนวน 459 หน่วย ขณะเดียวกันหมู่บ้านจัดสรรที่เปิดใหม่ มีจำนวนประมาณ 400 หน่วย เป็นบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ที่มียอดขายที่ดีส่วนทาวน์เฮาส์อาจจะลดลงมาเล็กน้อย จึงมองว่าภาพรวมตลาดบ้านจัดสรร มีการฟื้นตัวที่ดีขึ้นดร.วิชัย กล่าว 

สำหรับยอดขายคอนโดฯ ราคา 2-3 ล้านบาท พบว่าประมาณ 96% เป็นการพัฒนาโดยบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ สำหรับตลาดบ้านจัดสรร ผู้ประกอบการที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯยังเป็นผู้เล่นในตลาดหลัก มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 90% 

โดยทำเลที่มียอดขายบ้านจัดสรรที่ดีคือ ย่านขุนทะเล ส่วนใหญ่เป็นการพัฒนาบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ส่วนทาวน์เฮาส์มีเพียงประมาณ 14% ระดับราคาที่ขายไม่เกิน 3 ล้านบาท สำหรับอัตราการดูดซับของที่อยู่อาศัยทั้งบ้านจัดสรร อยู่ที่ 3.4% และคอนโดฯ ที่ 7% ซึ่งข้อมูลอาจจะไม่ชัดเจน เพราะในรอบนี้มีการเปิดตัวโครงการมากผิดปกติเพื่อดันยอดขาย ทำให้อัตราการดูดซับเพิ่มขึ้นกว่า 2.7% ก็หวังว่าการฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยวจะช่วยสร้างเม็ดเงินให้กับผู้ที่อาศัยในท้องถิ่น และผู้ที่ต้องการลงทุนในจ.สุราษฎร์ธานี มากขึ้นโดยเรียลดีมานด์ที่ต้องการซื้อบ้านจัดสรร อยู่ที่ประมาณ 2.6% 

สำหรับหน่วยเหลือขายในส่วนของคอนโดฯ ไม่ค่อยมีความน่ากังวล เพราะเหลืออยู่ที่ประมาณ200 กว่าหน่วย และอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง แต่บ้านเดี่ยวที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและเหลือขายประมาณ 350 หน่วย จากทั้งหมดประมาณ 600 หน่วยซึ่งถือว่าเกินกว่าครึ่งของการสร้างเสร็จแล้วและยังไม่สามารถขายได้ ซึ่งไม่น่ากังวลมากนัก และคิดว่าสามารถดูดซับได้เร็ว

จังหวัดนครศรีธรรมราช

มีจำนวนที่อยู่อาศัยเสนอขายทั้งสิ้น 1,903 หน่วย  มูลค่า 7,684 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -15.0 และ ร้อยละ -14.7  โดยเป็นโครงการบ้านจัดสรรอย่างเดียว 1,903 หน่วย มูลค่า7,684 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งหลังปี 2565 มีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวน 44 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.8 มูลค่า 144 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -14.7 ส่วนจำนวนหน่วยขายได้ใหม่มีจำนวน 393 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 111.3 มูลค่า 1,627 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 154.4 และจำนวนหน่วยเหลือขาย 1,510 หน่วย ลดลงร้อยละ -26.4 มูลค่า 6,057 ล้านบาท ลดลงร้อยละ-27.6  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 (YoY)

“ จ.นครศรีธรรมราช มีการเปิดตัวบ้านจัดสรรประมาณ 1,900 หน่วย ภาพรวมของตลาด เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในครึ่งหลังของปี 2564 ถือว่าหดตัวลง 15% โดยเป็นการหดตัวของอาคารชุด13% และซัพพลายที่เสนอขายเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของบ้านจัดสรร ก็ลดลง 13% เช่นเดียวกัน โดยบ้านเดี่ยว ลดลงไป 12% บ้านแฝดและทาวน์เฮาส์ ก็ลดลงเช่นกัน ซึ่งโดยภาพรวมถือว่าเป็นการปรับฐานที่ลดลงในส่วนของจำนวนหน่วยที่นำเสนอขายดร.วิชัยกล่าว 

สำหรับยอดของการเปิดตัวใหม่ในส่วนของคอนโดฯไม่มีเลย มองว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่ไม่มีการเปิดตัวใหม่ เพราะอาจจะขายได้ยาก เนื่องจากไม่เหมาะกับการลงทุนคอนโดฯในพื้นที่จ.นครศรีธรรมราช มากนัก 

ขณะที่บ้านจัดสรรมีจำนวนน้อยมาก โดยมีเพียงบ้านเดี่ยว 44 หน่วยเท่านั้น ทำให้เห็นว่าการลดตัวลงของหน่วยเสนอขาย เป็นเพราะไม่มีหน่วยการเปิดตัวใหม่มากนัก และการขายก็ดูดซับของเดิมที่มีอยู่ส่วนใหญ่จะเปิดตัวบ้านเดี่ยว แถวโซนพัฒนาการคูขวาง 

แม้ว่าจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ได้น้อย แต่สามารถขายได้ในทุกเซกเมนต์ สำหรับทาวน์เฮาส์ที่เปิดขาย พบว่าจะเป็นการพัฒนาโดยผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯประมาณ 50% และบ้านเดี่ยว 30% 

ด้านยอดขายนั้นพบว่าโซนพัฒนาการคูขวาง ขายบ้านจัดสรรได้มากสุด ประมาณ 87% ของภาพรวมตลาด โดยราคา 3-5 ล้านบาท และ 5-7.5 ล้านบาท ที่ขายได้ดี หากเทียบยอดขายปีต่อปี ถือว่ามียอดขายที่บวกไป 1 เท่าตัว ขณะที่ทำเลอ้อมค่าย จะมีบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮาส์เล็กน้อย อยู่ในระดับราคาหลักอยู่ที่ประมาณ  2-3 ล้านบาท และ 3-5 ล้านบาท 

ด้านอัตราดูดซับถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีกว่า 3.4% ด้านหน่วยเหลือขาย อาคารชุดแทบไม่มีประเด็น ส่วนบ้านจัดสรร พบว่าทาวน์เฮาส์จะเหลือค่อนข้างมาก ซึ่งทำเลที่บ้านสร้างเสร็จมีจำนวนหน่วยเหลือขายที่มาก ก็คือ ทำเลอ้อมค่ายและพัฒนาการคูขวาง 

toppercool

CEO,Prop2morrow Blogger อสังหาฯ , นักการตลาดดิจิตัล สาย Content marketing