แอสเสท เวิรด์ คอร์ปฯเผยภาพรวมตลาดโรงแรมหลังโควิด-19 คลี่คลาย เริ่มฟื้นตัว ส่งผลยอด Booking แน่น ยกเว้นเชียงใหม่ยังทรงตัวจากสถานการณ์ฝุ่นควัน ส่งผลลูกค้าไทย-เทศ เลื่อนแผนเข้าพักระยะสั้น คาดหลังจีนกลับมาเต็มร้อยดันตลาดโตเต็มสูบ เปิดแผนเนรมิตแลนด์แบงก์กว่า 100 ไร่ ใจกลางเมืองเชียงใหม่ ผุด 12 โปรเจกต์ครบวงจร หวังดันเป็น LIFESTYLE DESTINATION ดึงนักท่องเที่ยว
นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด(มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยถึงภาพรวมเศรษฐกิจในไตรมาส 1และไตรมาส 2 ปี 2566 นี้ว่า สำหรับในส่วนของธุรกิจโรงแรมมองว่า หลังจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ส่งผลให้ภาพรวมตลาดโรงแรมฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4/2566 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่น และยาวต่อเนื่องมาถึงปีนี้ ส่งผลให้ยอด Booking โรงแรมในเครือยาวตลอดทั้งปี ซึ่งเป็นยอดที่สูงกว่าปี 2562 ยกเว้นโรงแรมทางเชียงใหม่ ที่สถานการณ์ฝุ่นควันยังอยู่ในช่วงวิกฤติ ยอด Booking ยังไม่โตก้าวกระโดด แต่ก็อยู่ในภาวะที่ทรงตัว ส่งผลให้ลูกค้าบางส่วน ที่เป็นทั้งคนไทยและต่างชาติ เลื่อนวันเข้าพักออกไปก่อน ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ จะมีเพียงโรงแรม มีเลีย เชียงใหม่ ซึ่งเป็น 1 ในเครือโรงแรมทั้ง 4 แห่งของบริษัทในเชียงใหม่ ที่มียอด Booking เต็ม ส่วนธุรกิจรีเทลและอาคารสำนักงาน ทางบริษัทฯกำลังสร้างความมั่นใจให้กับผู้เช่าต่างๆที่ได้รับผลกระทบในช่วงวิกฤติโควิด-19 ที่ผ่านมา ว่าจะเป็นสามารถดำเนินการในรูปแบบโมเดลไหน ที่จะสามารถเดินหน้าไปด้วยกันได้ ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
“ต้องยอมรับว่าตลาดโรงแรมในจ.เชียงใหม่ ยังไม่กลับมาแข็งแกร่ง 100% ที่ผ่านมาลูกค้าจะเป็นกลุ่มคนไทยและต่างชาติ ในสัดส่วนที่เท่ากันคือ 50:50 แต่จะมีเพียงโรงแรม มีเลีย เชียงใหม่ ที่สามารถดึงลูกค้าชาวยุโรปให้มาเข้าพักได้เต็ม เชื่อว่าหากสถานการณ์ฝุ่นควันคลี่คลาย และนักท่องเที่ยวชาวจีนกลับมาได้เต็มที่ คาดว่าจะเป็นช่วงไตรมาส 3/2566 เป็นต้นไป เพราะเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่มาก ก็จะทำให้ตลาดโรงแรมในเชียงใหม่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน ซึ่งปัญหาฝุ่นควันนั้นมีวิธีแก้ไข ทั้งนี้คงต้องให้หลายๆฝ่ายมาคุยกันก่อน เพราะหากปล่อยไว้จะเป็นผลกระทบในระยะยาว แต่คิดว่าเมื่อถึงหน้าฝน สถานการณ์ในระยะสั้นนี้ก็จะคลี่คลายลงได้” นางวัลลภา กล่าว
นางวัลลภา กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนที่จะพัฒนา “ตะวันนา บางกะปิ”คอมมูนิตี้ มาร์เก็ต โดยร่วมกับเดอะมอลล์ บางกะปิ เพื่อสร้างบางกะปิให้เป็นย่านที่ผู้คนมาใช้ชีวิตและช้อปปิ้ง โดยจะปรับปรุงให้เป็นอาคารสูง 6-8 ชั้น ขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบ เช็กดีมานด์ในพื้นที่ และขออนุญาตทำแบบก่อสร้าง
ขณะที่โครงการ “เวิ้งนครเขษม”อีกหนึ่งโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ของแอสเสทเวิรด์ฯที่จะดึงเสน่ห์และอนุรักษ์ความเป็นไชน่าทาวน์ ให้เป็นเส้นทางมรดกทางประวัติศาสตร์และถนนแห่งความบันเทิง ดึงคุณค่าจากอดีตไปสู่ไลฟ์สไตล์ในอนาคต สร้างให้เป็นจุดหมายปลายทางที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยว โดยจะให้เป็นBranded Residences สำหรับผู้มาลงทุนให้สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายการใช้บริการของ AWC ได้ทั้งหมด ขณะนี้อยู่ในระหว่างการขออนุญาตก่อสร้าง
สำหรับความคืบหน้าการลงทุนในจ.เชียงใหม่ โดยเฉพาะโซนถนนช้างคลานต่อเนื่องถึงถนนศรีดอนไชย บริษัทฯมีทั้งโครงการโรงแรม รีเทล และมาร์เก็ต ซึ่งมีทั้งเปิดให้บริการแล้ว และอยู่ในระหว่างการรีโนเวท รวมไปถึงการทยอยการก่อสร้างโครงการใหม่ๆ ซึ่งแบ่งเป็นทั้งหมด 12 โครงการ รวมพื้นที่กว่า 100 ไร่ โดยเฉพาะโรงแรมทั้ง 4 แห่ง คิดเป็นมูลค่าการลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาท ได้แก่ โรงแรม เลอ เมอริเดียน เชียงใหม่ ที่จะเปลี่ยนเป็นเชนแมริออท,โรงแรม มีเลีย เชียงใหม่,โรงแรมดุสิต ดีทู ยงใหม่ และโรงแรมอินเตอร์คอนติเนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง
สำหรับโครงการ “THE PANTIP LIFESTYLE HUB”เชียงใหม่ ซึ่งเป็นอีก 1 ใน 12 โครงการของ AWC ที่ผ่านมาใช้งบลงทุนกว่า 800 ล้านบาท และขณะนี้ได้มีการปรับปรุงพื้นที่หลายโซน เพื่อสร้าง “LIFESTYLE EXPERIENCE” บนพื้นที่รวมมากกว่า 13,000 ตารางเมตร ผ่านแลนด์มาร์คสำหรับกิจกรรมความสนุกหลากหลาย ศูนย์รวมร้านอาหารชั้นนำมากมาย (Food Lounge)แหล่งไลฟ์สไตล์สำหรับครอบครัว ควบคู่ไปกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน เพื่อตอบโจทย์ทุกกลุ่มลูกค้า ทุกไลฟ์สไตล์ ทุกเจเนอเรชั่นในที่เดียว พร้อมร่วมสนับสนุนเชียงใหม่ สู่การเป็น “ไลฟ์สไตล์ เดสติเนชั่น” จุดหมายปลายทางแห่งความสุขร่วมกันของทุกคน ซึ่งการรีโนเวทในครั้งนี้เริ่มต้นเมื่อปี 2565 ที่ผ่านมา โดยใช้งบการลงทุนทั้งหมดกว่า 300 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในไตรมาส 3/2566 นี้ ซึ่งผู้เช่าใหม่คงจ่ายราคาเช่าในอัตราใหม่คือ 600-800 บาท/ตารางเมตร
โดยการปรับปรุง “THE PANTIP LIFESTYLE HUB” เชียงใหม่ จะผ่านการสร้างสรรค์ 3 ประสบการณ์สำคัญที่ตอบโจทย์ลูกค้าในทุกช่วงวัย ได้แก่
1.ATTRACTIONS: แลนด์มาร์คสำหรับกิจกรรมความสนุกหลากหลายเสมือนห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ที่สุด (THE LARGEST LIVING ROOM) ในจังหวัดเชียงใหม่ ด้วยการจัดสรรพื้นที่มากกว่า 3,800 ตารางเมตร ที่รวบรวมทุกกิจกรรมของทุกคนในครอบครัว ครบครันด้วยร้านค้าและบริการ ศูนย์การเรียนรู้ ชั้นนำ สนามเด็กเล่น เสริมสร้างประสบการณ์สำหรับเด็ก รวมถึงฟิตเนส ศูนย์สุขภาพและความงาม สำหรับคุณพ่อคุณแม่ และพื้นที่สำหรับสำหรับการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ของทุกคนในครอบครัวได้ในที่เดียว
2.FOOD LOUNGE: แหล่งรวมร้านอาหารชั้นนำที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด (THE LARGEST CONNECTED FOOD LOUNGE) ที่รวบรวมเมนูเด่นจากร้านดังยอดนิยมจากแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ ที่ได้รับความนิยมสูงสุด พาสัมผัสประสบการณ์โลกของอาหารไทยและอาหารนานาชาติหลากหลาย เปี่ยมด้วยคุณภาพวัตถุดิบระดับพรีเมี่ยมที่ผสมผสานอย่างลงตัวไปกับไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ ให้ทุกคนได้ลิ้มลองในราคาที่จับต้องได้ ควบคู่การจัดสรรพื้นที่ Co–Dining Space เพื่อให้ทุกคนในครอบครัวและกลุ่มเพื่อนได้มาใช้เวลาร่วมกันในการรับประทานอาหารและการทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตลอดทั้งวัน ด้วยพื้นที่รวมกันมากกว่า 4,500 ตารางเมตร
3.LIFESTYLE MARKET: แหล่งไลฟ์สไตล์สำหรับทุกคน พร้อมต้อนรับทุกการพบปะสังสรรค์ รวมถึงการริเริ่มโครงการต่างๆ เปิดโอกาสให้ชุมชนและพันธมิตรร่วมสร้างประสบการณ์จัดโปรแกรม อาทิ กลุ่มที่ชื่นชอบสินค้าเกษตรอินทรีย์ปลอดสารพิษ กลุ่มที่ชื่นชอบงานศิลปะ หรือกลุ่มที่ชอบตกแต่งบ้านและสวน รวมถึงกลุ่มรักสุขภาพ หรือกลุ่มรักกิจกรรมแนวธรรมชาติ และกิจกรรมอื่นๆ เพื่อสร้างคุณค่าระยะยาว ร่วมเติบโตกันกับชุมชน ส่งเสริมคุณค่าศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น และส่งต่อคุณค่าที่มีเอกลักษณ์ความเป็นไทยสู่ชาวต่างชาติทั่วโลก
นอกจากนี้ลงทุนในส่วนของ “ลานนาทีค”(LANNATIQE) ให้เป็น LIFESTYLE DESTINATION เหมือนเช่นเอเชียทีค ซึ่งจะแบ่งการพัฒนาออกเป็น 4 เฟส โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างการพัฒนาเฟส1 และขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจากับพันธมิตรระดับโลก ซึ่งการเจรจามี 2 รูปแบบคือการร่วมทุนกับพันธมิตร หรือให้พันธมิตรเข้ามาเช่าพื้นที่และบริษัทฯเป็นผู้ลงทุนเอง ซึ่งยังไม่สามารถสรุปผลได้ในขณะนี้