บีไอดับบลิวฯเผย 3 เทรนด์สำคัญตลาดผ้าม่านทั่วโลก OUT DOORS , ECO TREND & SMART LIVING และ HEALTH FOCUS ระบุอุตสาหกรรมมีการเปลี่ยนแปลงมาก คาดอีก 5 ปี สัดส่วนประมาณ 29% ของบ้านทั้งหมด จะมีการใช้ SMART HOME คิดเป็นจำนวน 672 ล้านครัวเรือน ล่าสุดจับมือ 2 แบรนด์ดังยุโรป “คูลิส” จากเนเธอร์แลนด์ และ “เซิร์จ เฟอรารี่” จากฝรั่งเศส เข้าทำตลาดไทย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งานยุคใหม่ ตั้งเป้าปี 66 ยอดขายโต 50% ปี 68 จ่อนำบริษัทฯเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai เตรียมขยายดีลเลอร์ในจังหวัดใหญ่เพิ่มอีก 15 จังหวัด ทั้งขยายโรงงานใหม่เพิ่มไลน์สินค้า เพิ่มกำลังการผลิตเป็น20,000 ตารางเมตร/เดือน

นายสิริชัย ฤทธิปัญญาวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บีไอดับบลิว โพรดัคส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายม่านเพื่อการตกแต่งภายในและภายนอกอาคารระดับไฮเอนด์ เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดผ้าม่านที่ผ่านมาว่ามีผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมนี้ไม่มากนัก แต่การแข่งขันรุนแรงมากโดยเฉพาะเรื่องตัดราคาสินค้า ในขณะที่บริษัทฯจะเน้นในเรื่องนำเสนอคุณภาพสินค้า เป็นทางเลือกให้ลูกค้าได้หลากหลายผลิตภัณฑ์ ซึ่งส่งผลให้ปัจจุบันผู้ประกอบการบางรายเริ่มหันมาดำเนินการในรูปแบบเดียวกับบริษัทฯบ้างแล้ว
สำหรับเทรนด์สำคัญของธุรกิจผ้าม่านทั่วโลกในปัจจุบันจะมี 3 เรื่องหลักได้แก่
1.OUT DOORS ในการทำให้พื้นที่ภายในเชื่อมต่อกับพื้นที่ภายนอกอาคาร ซึ่งทั่วโลกให้ความสำคัญในเรื่องนี้และมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงประเทศไทยด้วย
2.ECO TREND & SMART LIVING ที่สามารถยกระดับสินค้าได้ เพราะสภาพภูมิอากาศโลกเปลี่ยนไป ดังนั้นผ้าม่านสำหรับประหยัดพลังงานจะสามารถช่วยโลกลดความร้อนได้ในระดับหนึ่ง
3.HEALTH FOCUS
“ปัจจุบันอุตสาหกรรมผ้าม่านโลกมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะใน 3 เรื่องหลักคือ SMART HOME โดยคาดว่าอีก 5 ปีข้างหน้า สัดส่วนประมาณ 29% ของบ้านทั้งหมด จะมีการใช้ SMART HOME คิดเป็นจำนวน 672 ล้านครัวเรือน และมีการคาดการณ์รายได้จากระบบ SMART HOME จะมีอัตราการเติบโตเพิ่มเป็น 2 เท่าตัว ส่วนอีก 2 เรื่องคือ SYSTEM APPROACH และ ROBOTIZED PRDUCTOIN”นายสิริชัย กล่าว
ทั้งนี้การดำเนินธุรกิจผ้าม่านในตลาดโลกในปัจจุบัน ยังให้ความสำคัญ 4 ด้าน คือ คุณภาพ(Quality) ความฉลาด (Smart) การจัดการพื้นที่ (Space Management) และความยั่งยืน(Sustainability) บีไอดับบลิว ในฐานะที่เป็นผู้นำเทรนด์ม่านใหม่ ๆ เข้ามาในประเทศไทย จึงได้รุกตลาดด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบรับกับเทรนด์ที่เกิดขึ้น ภายใต้ 2 แนวคิด คือ “การยกระดับคุณภาพชีวิต และการปกป้องชีวิต” เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ใช้งาน โดยจับมือกับแบรนด์คูลิส (Coulisse) ประเทศเนเธอร์แลนด์ และแบรนด์ เซิร์จ เฟอรารี่ (Serge Ferrari) ประเทศฝรั่งเศส เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย
โดยผ้าม่านในกลุ่มที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต ที่บีไอดับบลิวเน้นในปีนี้ คือ การสร้างพื้นที่ใหม่ๆ ให้ที่อยู่อาศัยผ่านผลิตภัณฑ์ของแบรนด์คูลิส และเซิร์จ เฟอรารี่ และการทำให้ผู้ใช้งานใช้ชีวิตสะดวกสบาย มีไลฟ์สไตล์ที่ดีขึ้น เช่น ลม่านอัจริยะ Eve Motion จากแบรนด์คูลิส รายแรกของโลกที่ไม่ใช้สายและรีโมตคอนโทรล เพียงกระตุกโซ่เบา ๆ ให้ม่านขึ้น–ลง หรือสั่งงานผ่านมือถือรายแรกและรายเดียวที่เชื่อมกับ Apple Home Kit โดยไม่ต้องมีอุปกรณ์เชื่อมต่อ และยังเชื่อมกับค่ายอื่น ๆ เช่น กูเกิลโฮม ซัมซุง ได้บนแอปพลิเคชันเดียว ซึ่งมีทั้งม่านที่ใช้ระบบโฮมออโตเมชันในราคาที่เข้าถึงง่าย ไม่ยุ่งยากในการเซ็ตระบบ และม่านที่ปรับตามไลฟ์สไตล์ที่ทำให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้น เช่น ทำให้ตื่นนอนได้อย่างสดชื่นด้วยการตั้งเวลาและรูปแบบการเปิดของม่านด้วยวิธีง่ายๆ
และในกลุ่มเดียวกันนี้ บีไอดับบลิว ยังเปิดตลาดกลุ่ม ม่านระบบ Zip จากแบรนด์เซิร์จ เฟอรารี่นวัตกรรมที่ทำให้ผู้ใช้งานใช้พื้นที่ได้ประโยชน์สูงสุด โดยใช้ม่านเป็นฉากที่เปิด–ปิดได้ตามต้องการ เช่น แบ่งโซนภายในห้อง เชื่อมต่อภายในบ้านกับสวนด้านนอก หรือการทำโรงรถที่เปิด–ปิดได้โดยไม่เสียพื้นที่ใช้สอย และยังได้เพิ่มไลน์ ผ้าม่านและผ้าใบคุณภาพสูงสำหรับงานโครงสร้างน้ำหนักเบากลางแจ้ง ที่ใช้เทคโนโลยีลิขสิทธิ์เฉพาะของเซิร์จ เฟอรารี่ ทำให้ผ้ามีความแข็งแรง ตึงตัวเป็นพิเศษ หนา นุ่ม ดูเป็นธรรมชาติ ป้องกันเชื้อรา คงทน และคงรูปได้นาน
สำหรับ ม่านในกลุ่มที่ช่วยปกป้องชีวิต จะมุ่งเน้นเรื่องการสร้างความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน และคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานระดับสูง โดยม่านในกลุ่มที่ช่วยปกป้องชีวิตที่นำมาเปิดตัวได้แก่ ม่านม้วน Eco Luxury จากแบรนด์คูลิส ด้วยเทรนด์ที่สวยกลมกลืนเป็นธรรมชาติควบคู่กับการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเป็นแบรนด์เดียวในประเทศไทยที่มีกระบวนการผลิตที่ยั่งยืน คำนึงถึงการปล่อยมลพิษให้น้อยที่สุด และนำวัสดุมารีไซเคิลแล้วผ่านกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพให้กลายเป็นผ้าม่านคุณภาพ
ในเรื่องของคุณภาพมาตรฐานนั้น ทุกแบรนด์ที่บีไอดับบลิวนำมาทำตลาด จะมุ่งเน้นความปลอดภัย โดยได้รับการรับรองว่าปราศจากสารก่อมะเร็ง เช่น ปรอท ฟอร์มาดีไฮน์ และ VOC นอกจากนี้ ผ้ากันแสงแดดจากคูลิสยังผ่านการทดสอบมาตรฐานระดับสูงจาก Greenguard Gold ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสำหรับใช้กับเด็ก หรือผู้ที่แพ้ง่าย โดยผ้าม่านของบริษัทฯจำหน่ายในราคาตั้งแต่ 700-6,900 บาท/ตารางเมตร โดยแบ่งเป็นกลุ่มลูกค้าโครงการที่อยู่อาศัย,อาคารสำนักงาน สัดส่วน 50% และลูกค้ากลุ่มบ้านสร้างเอง สัดส่วน 50%
“การมีเทคโนโลยีที่ดี และความสวยงาม ถือว่ามีความสำคัญมาก และสินค้าต้องมีมาตรฐานในการผลิตที่ไม่ทำลายโลก และต้องยกระดับการสำนึกรักสิ่งแวดล้อมด้วย”นายสิริชัย กล่าว
ปัจจุบันตลาดม่านระดับไฮเอนด์ในประเทศไทย ปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท และยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก โดยบีไอดับบลิวครองส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 15% คิดเป็นมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ของตลาดม่านม้วน ติดอันดับ 1 ใน 3 ผู้นำตลาด โดยมั่นใจว่าการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในแนวคิดใหม่ครั้งนี้จะทำให้บริษัทฯเติบโตขึ้น 50% ภายในปี 2566 นี้
นายสิริชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการที่ธุรกิจมีการขยายตัวมากขึ้น บริษัทฯจึงมีแผนที่จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ(mai)ภายในปี 2568 ซึ่งบริษัทจะต้องมียอดขายที่ประมาณ 300 ล้านบาท โดยในปีนี้ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 200 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 25 ล้านบาท และจะเพิ่มเป็น 50-100 ล้านบาท ในปีที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ

นางแสงสุรีย์ อินทเดช ผู้จัดการทั่วไป บริษัท บีไอดับบลิว โพรดัคส์ จำกัด กล่าวว่า บีไอดับบลิวได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี เพราะสามารถตอบโจทย์ลูกค้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ โดยเป็นแบรนด์เดียวในประเทศไทยที่มีใบรับรองมาตรฐานมากที่สุด ทั้งมาตรฐานด้านความปลอดภัย มาตรฐานด้านประหยัดไฟ และมาตรฐานเรื่องความยั่งยืน รวมทั้งมีฟังก์ชันที่หลากหลาย ทำให้เจ้าของบ้านและดีไซเนอร์มีทางเลือกมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีบริการหลังการขายที่สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ปัจจุบันมีร้านค้าที่มีแค็ตตาล็อกของบีไอดับบลิวกว่า1,000 ร้านทั่วประเทศ แบ่งเป็นร้านค้าในพื้นที่กทม.ประมาณ 75% ,หัวเมืองท่องเที่ยว 25% และอื่นๆ 5% นอกจากนี้ยังมีกลุ่มดีไซน์เนอร์อีกประมาณ 300-400 บริษัท
สำหรับแผนงานในปีนี้จะมีการขยายดีลเลอร์ในจังหวัดใหญ่เพิ่มขึ้น อีกประมาณ 15 จังหวัดรวมทั้งขยายกำลังการผลิตด้วยการตั้งโรงงานใหม่ เพื่อขยายไลน์สินค้า ซึ่งตั้งอยู่ย่านสุวินทวงศ์ บนพื้นที่ 2 ไร่ มีกำลังการผลิตประมาณ 10,000 ตารางเมตร/เดือน คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการผลิตได้ในปลายปี 2567 ซึ่งเมื่อรวมกับโรงงานเก่าซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียงกัน จะทำให้มีกำลังการผลิตรวม 20,000 ตารางเมตร/เดือน นอกจากนี้ยังมีโชว์รูมอีก 2 แห่งในย่านเสรีไทย พื้นที่ประมาณ 400 ตารางเมตร และย่านรามอินทรา พื้นที่ประมาณ 300 ตารางเมตร เพื่อหวังขยายกลุ่มเป้าหมายใหม่โดยเน้นกลุ่มโปรเจกต์ใหญ่ และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้มากขึ้น

ด้านนายไบรอัน โบ อัน ชาง ผู้บริหารจากคูลิส เนเธอร์แลนด์ กล่าวว่า คูลิสมีแนวคิดในการผลิตม่านที่คำนึงถึงการยกระดับคุณภาพชีวิต และปกป้องชีวิต ซึ่งเป็นไปตามความต้องการของเจ้าของบ้านและดีไซเนอร์ยุคใหม่ หนึ่งในตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของคูลิสที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปกป้องชีวิตผู้ใช้งาน คือ การที่คูลิสเลือกที่จะทดสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์ในระดับสูงจาก Greenguard นอกจากนี้ คูลิสยังมุ่งที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อโลก รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่มีฟังก์ชันอัจริยะที่จะสร้างความสุข และทำให้ผู้ใช้งานมีชีวิตที่ดีขึ้น
“การที่บีไอดับบลิวเป็นผู้นำในตลาด มีแผนการตลาดที่น่าสนใจ ประกอบกับความโดดเด่นของคูลิสที่เป็นอันดับ 1 ของโลกเรื่องดีไซน์และแฟชั่น รวมถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค ทำให้เราเชื่อมั่นว่าม่านของคูลิสที่นำมาทำตลาดครั้งนี้ทั้ง Eve Motion และ Eco Luxury จะได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดีเช่นเดียวกับหลายประเทศทั่วโลกที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้” นายไบรอัน กล่าว
ในส่วนของเซิร์จ เฟอรารี่ นับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าม่านกลางแจ้งอันดับ 1 ของโลก ผ้าของเซิร์จ เฟอรารี่ มีความโดดเด่นแตกต่างจากผ้าทั่วไป โดยได้รับความไว้ใจจากโครงการระดับโลกมากมาย ทั้งหลังคาสนามฟุตบอลโลกที่การ์ตา รวมถึงสนามฟุตบอลและเรือยอชต์ที่สำคัญทั่วโลก และยังมีผลิตภัณฑ์หลายรูปแบบให้เลือก ทั้งที่เป็นโครงสร้างถาวร และโครงสร้างเบาโดยมุ่งเน้นด้านเทคโนโลยี เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีให้ผู้ใช้งาน และใส่ใจสิ่งแวดล้อมควบคู่กัน