ESR ขยายฐานรุกพัฒนาอาคารคลังสินค้าในไทยครั้งแรก นำร่องซื้อที่ดินใน 2 นิคมฯกว่า 300 ไร่ มูลค่า 8 พันล้านบาท

  • Post author:
You are currently viewing ESR ขยายฐานรุกพัฒนาอาคารคลังสินค้าในไทยครั้งแรก นำร่องซื้อที่ดินใน 2 นิคมฯกว่า 300 ไร่ มูลค่า 8 พันล้านบาท
อีเอสอาร์ กรุ๊ป ขยายฐานธุรกิจรุกพัฒนาอาคารคลังสินค้าในไทยครั้งแรก นำร่องซื้อที่ดินในพื้นที่ 2 นิคมอุตสาหกรรม กว่า 300 ไร่ มูลค่ารวม 8,000 ล้านบาท หวังชิงส่วนแบ่งตลาดลูกค้าธุรกิจ EV-อีคอมเมิร์ซ มั่นใจในประสบการณ์หลายประเทศและเน้นด้าน ESG-Footprint เป็นจุดแข็งเหนือคู่แข่ง ตั้งเป้า 5 ปีลงทุนรวมทั้งสิ้น 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ(35,000 ล้านบาท) ทั้งสนใจซื้อที่ดินนอกนิคมฯในปริมณฑลต่างจังหวัดศักยภาพที่เติบโตด้านโลจิสติกส์ต่อเนื่อง
นายเจฟฟรีย์ เชิน
นายเจฟฟรีย์ เชิน ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานบริหารร่วม บริษัท อีเอสอาร์ กรุ๊ป จำกัด (ESR) ผู้บริหารจัดการทรัพย์สินและผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และ ผู้จัดการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ซึ่งมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจในประเทศจีนญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย สิงคโปร์ อินเดีย นิวซีแลนด์ และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้บุกตลาดธุรกิจพัฒนาอาคารคลังสินค้า ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปแล้ว 5 ประเทศ ได้แก่ เวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์และเมื่อ 2 ปีที่ผ่าน(ปี 2564) ได้ให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนธุรกิจพัฒนาอาคารคลังสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพราะมองเห็นว่ามูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ที่คาดการณ์ไว้ในระหว่างปี 2565-2570 จะมีอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) 3.28% อีกทั้งที่ผ่านมาได้มีบริษัทข้ามชาติที่ผลิตรถยนต์นวัตกรรมที่ใช้เพียงพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียว 100% ในการขับเคลื่อน และสามารถชาร์จไฟได้อย่างสม่ำเสมอ(Electric Vehicle : EV) เข้ามาใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตมากขึ้น อีกทั้งธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ก็มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมองว่าการแข่งขันธุรกิจดังกล่าวในประเทศไทยในขณะนี้ มีผู้ประกอบการรายใหญ่เพียง 2 กลุ่มเท่านั้น คือ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล (ประเทศไทย) จำกัด(FPIT) และ บริษัทดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA ทำให้ในปี 2565 ที่ผ่านมาได้ขยายฐานธุรกิจพัฒนาอาคารคลังสินค้า ด้วยการเริ่มก่อตั้งสำนักงาน ESR ขึ้นมาในประเทศไทยเป็นครั้งแรก และทุ่มงบประมาณ 8,000 ล้านบาท (235 ล้านเหรียญสหรัฐ) ในการซื้อที่ดินในพื้นที่ 2 นิคมอุตสาหกรรม เพื่อพัฒนาอาคารคลังสินค้าให้เช่า

 

โดยโครงการแห่งแรกตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ ภายในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ (แหลมฉบัง) จังหวัดชลบุรี เป็นพื้นที่เขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ซึ่งเป็นเขตส่งเสริมกิจการพิเศษโดยหน่วยงานภาครัฐเพื่อส่งเสริมการลงทุน ยกระดับนวัตกรรมและพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงในประเทศไทย โดยมีพื้นที่เฟสแรกรวมประมาณ 100 ไร่(160,000 ตารางเมตร) และพื้นที่อาคารรวม (Gross Floor Area: GFA) ขนาด 93,000 ตารางเมตร คาดว่าจะพัฒนาแล้วเสร็จในช่วงปลายปี  2568 ขณะนี้มีผู้ประกอบการในธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ จากสหรัฐอเมริกา สนใจจะเซ็นหนังสือบันทึกข้อตกลง (Memorandum of Understanding : MOU)ในเร็วๆนี้ จำนวน 1 ราย โดยจะเช่าพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 40,000 ตารางเมตร เป็นระยะเวลาประมาณ 12 ปี

นอกจากนี้ยังอยู่ในระหว่างการนำเสนอราคากับลูกค้าอีก 2 ราย ซึ่งประกอบธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ และ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ จากสหรัฐอเมริกา ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ อีกทั้งบริษัทฯยังสนใจที่จะซื้อที่ดินในพื้นที่นิคมฯดังกล่าวเพื่อพัฒนาเฟส 2 อย่างต่อเนื่องอีกด้วย

ส่วนโครงการที่ 2 ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย (สุวรรณภูมิ) มีพื้นที่รวมประมาณ 225 ไร่(363,500 ตารางเมตร) และพื้นที่อาคารรวม (GFA) 253,500 ตารางเมตร มีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2569 ซึ่งจะแบ่งการพัฒนาออกเป็น 2-3 เฟส โดยโครงการมีจุดเด่นด้านทำเลที่ตั้งที่อยู่ใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิ ถนนเส้นสำคัญที่สะดวกต่อการเดินทางยังใจกลางกรุงเทพฯ รวมถึงพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญอีกหลายแห่งในประเทศไทย  และท่าเรือแหลมฉบัง เหมาะสมกับธุรกิจโลจิสติกส์ในการใช้เป็นฮับกระจายสินค้าไปยังทั่วประเทศ ผู้ให้บริการด้านอีคอมเมิร์ซ ศูนย์รวมและกระจายสินค้าผ่านการขนส่งทางอากาศ ตลอดจนธุรกิจขนส่งสินค้าที่ต้องควบคุมอุณหภูมิ

นอกจากด้านการเติบโตทางธุรกิจ ESR เล็งเห็นโอกาสการสร้างอาชีพและตำแหน่งงานในประเทศให้มากขึ้น และมุ่งเป็นส่วนหนึ่งแบ่งปันความรู้และถ่ายทอดความเชี่ยวชาญเพื่อยกระดับแรงงานในท้องถิ่นให้มีทักษะสูง ตลอดจนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในภายภาคหน้า พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งให้ความสำคัญด้านการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจ สังคม และ ธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance หรือ ESG) ควบคู่ไปกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและสอดคล้องกับแนวคิดความยั่งยืน ซึ่งจะช่วยผลักดันประเทศไทยสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ (Footprint) ทั้งนี้คาดว่าในปีแรกนี้จะสามารถขายพื้นที่ให้ลูกค้าได้ประมาณ 100,000-200,000 ตารางเมตร

หนึ่งในหลักการสร้างการเติบโตของบริษัทฯ คือการลงทุนในกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) ซึ่งหมายรวมถึงธุรกิจโลจิสติกส์ ดาต้าเซ็นเตอร์ วิทยาศาสตร์เพื่อคุณภาพชีวิต (Life Sciences) และอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก การขยายฟุตปรินท์(Footprint)ในประเทศไทยครั้งนี้ จึงนับว่าเป็นการขยายธุรกิจ สร้างความแข็งแกร่งเชิงกลยุทธ์ให้แก่ธุรกิจ โดยประเทศไทยมีการพัฒนาสู่ความเจริญอย่างรวดเร็ว ประกอบกับมีจำนวนประชากรและกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซในไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีความต้องการพื้นที่เพื่อรองรับกิจกรรมด้านโลจิสติกส์คุณภาพสูงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเรามั่นใจว่าด้วยประสบการณ์ในการพัฒนาในหลายประเทศ และเน้นในเรื่องการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน Environmental (สิ่งแวดล้อม) Social (สังคม) และ Governance (ธรรมาภิบาล) จะเป็นจุดแข็งที่แตกต่างจากคู่แข่งขันนายเจฟฟรีย์ เชิน  กล่าว

นายเจ เมียร์ปูริ

ด้านนายเจ เมียร์ปูริ Head, Singapore Development & Thailand, ESR Group กล่าวว่า ด้วยประเทศไทยมีเศรษฐกิจเติบโตเป็นอันดับ 2ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมียุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 ที่มุ่งสร้างเศรษฐกิจที่มีมูลค่า อาทิ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซยุคใหม่ โลจิสติกส์ ยานยนต์ และอุตสาหกรรมดิจิทัล ทำให้ประเทศไทยนับเป็นองค์ประกอบสำคัญของกลยุทธ์สร้างการเติบโตของ ESR ในภูมิภาคนี้

ทั้งนี้ภายในระยะเวลา 5 ปีนี้ ESR ตั้งเป้าลงทุนรวมทั้งสิ้น 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ(35,000 ล้านบาท) ซึ่งเป็นการระดมทุนจากกองทุนพัฒนาของบริษัทฯ โดยมูลค่าการลงทุนดังกล่าวสอดคล้องกับมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ที่คาดการณ์ไว้ในระหว่างปี 2565-2570 ด้วยอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) 3.28% บริษัทฯ เชื่อว่าทำเลยุทธศาสตร์โซลูชั่นอาคารเพื่ออุตสาหกรรมที่เหนือกว่าคู่แข่งและตอบโจทย์ด้านความยั่งยืน ประกอบกับทีมงานมากด้วยประสบการณ์ จะดึงดูดผู้เช่าที่เป็นบริษัทข้ามชาติ (MNCs) ในกลุ่มเศรษฐกิจใหม่และภาคธุรกิจที่มีการเติบโตสูงเข้ามาเป็นลูกค้าในอนาคตอันใกล้นี้

ESR ดำเนินงานตามกรอบ ESG ที่บริษัทฯให้ความสำคัญ โดยอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมในประเทศไทย สอดคล้องกับนโยบายระดับกลุ่มบริษัทฯ ซึ่งให้ความสำคัญในการใช้งานอย่างครอบคลุมและยั่งยืน อาทิ การให้ความสำคัญกับการผลิตพลังงานหมุนเวียนการออกแบบที่ให้ความสำคัญต่อผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลาง การใช้พลังงานไฟฟ้าในการขนส่งการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระหว่างการพัฒนาโครงการ โดยคุณลักษณะเหล่านี้จะได้รับการวางแผนออกแบบตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงพัฒนาเสร็จสิ้น โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพและการใช้งานของผู้เช่าเป็นสำคัญ

นอกจากโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาทั้ง 2 แห่งนี้ กลุ่มบริษัทฯ จะมองหาโอกาสในการลงทุนเพิ่มเติมในทำเลยุทธศาสตร์แห่งอื่นนอกนิคมอุตสาหกรรม ที่มีศักยภาพในการเติบโตด้านโลจิสติกส์ เช่น บางนาตราด, พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และวังน้อย จากนั้นจึงจะขยายไปยังพื้นที่จังหวัดอื่น อาทิ เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี และขอนแก่น เป็นต้น

เกี่ยวกับ ESR

ESR ผู้จัดการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และ ผู้จัดการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกซึ่งมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจในประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ออสเตรเลีย สิงคโปร์ อินเดีย นิวซีแลนด์ และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัทฯ สามารถสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมให้ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกว่า 95% นอกจากนี้ ยังมีการดำเนินงานในทวีปยุโรปและอเมริกา คิดเป็นทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการมูลค่ามากกว่า150,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือประมาณ 5 ล้านล้านบาท)

ESR ส่งมอบโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ให้แก่นักลงทุนด้วยโอกาสการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่เติบโตสอดรับกับเศรษฐกิจยุคใหม่ผ่านกองทรัสต์ที่หลากหลายของบริษัท โดยผู้ร่วมลงทุนและนักลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีจากแนวโน้มบวกทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบัน ESR มีบทบาทเป็นสปอนเซอร์รายใหญ่ที่สุดของกองทรัสต์ ESR และผู้จัดการกองทรัสต์ ที่มีพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการมูลค่ารวมมากถึง 46,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท)

ESR มีเป้าหมายในการให้บริการโซลูชั่นด้านพื้นที่และการลงทุนเพื่อตอบโจทย์อนาคตที่ยั่งยืนโดยให้ความสำคัญต่อการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน ยกระดับสิ่งแวดล้อมและสังคมในทุกพื้นที่ดำเนินงาน และให้บริการแก่ผู้มีส่วนได้เสียรายสำคัญ บริษัทฯ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง และได้รับการจัดอันดับในกลุ่ม FTSE Global Equity Index Series (Large Cap) ของดัชนีฮั่งเส็ง และดัชนี MSCI Hong Kong

toppercool

CEO,Prop2morrow Blogger อสังหาฯ , นักการตลาดดิจิตัล สาย Content marketing