ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯรายงานตลาดที่อยู่อาศัยไตรมาส 1 อุปทานชะลอตัวมาก การออกใบอนุญาตจัดสรรทั่วประเทศแตะ 15,267 ยูนิต ลดลง -13.6% บ้านแฝดได้รับความนิยมเพิ่ม ตอบโจทก์กลุ่มคนซื้อบ้านเดี่ยวไม่ไหว ด้านมูลค่าโครงการเปิดใหม่ลดลง -38.7% ขณะที่โครงการเปิดตัวใหม่ลดแรง -59%
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูล อสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยถึงสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยไตรมาส 1 ปี 2566ว่า อุปทานการออกใบอนุญาตจัดสรรทั่วประเทศมีจำนวน 15,267 ยูนิต ลดลง -13.6% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2565 ที่มีจำนวน 17,669 ยูนิต โดยเฉพาะช่วงเดือนมกราคม ลดลงมากถึง -65% จำนวน 1,783 ยูนิตเท่านั้น
ทั้งนี้สินค้าทาวน์เฮ้าส์มีจำนวนการออกใบอนุญาตจัดสรรมากที่สุดจำนวน 6,290 ยูนิต (41.1%) ลดลง -10.4% รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยวจำนวน 4,992 ยูนิต (32.7%) ลดลง 17.8% และบ้านแฝดจำนวน 3,233 ยูนิต (21.2%) เพิ่มขึ้น 2.9%
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ประกอบการประเมินว่ากำลังซื้อของกลุ่มลูกค้าเติบโตไม่ทันกับการเพิ่มขึ้นของต้นทุนในการพัฒนาที่อยู่อาศัย จึงได้ปรับตัวหันมาสร้างบ้านที่มีขนาดไซต์เล็กลงกว่าบ้านเดี่ยว และพื้นที่ใช้สอยลดลง แต่มากกว่าสินค้าทาวน์เฮ้าส์ เพื่อให้ราคาบ้านสอดรับกับกำลังซื้อของลูกค้า โดยหันมาพัฒนาสินค้าบ้านแฝดเพิ่มขึ้น
ที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ลด -59.0% อาคารชุดกลับมาเปิดตัวเพิ่มขึ้น
ส่วนภาพรวมที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ในพื้นที่กรุงเทพ-ปริมณฑลไตรมาส 1 มีจำนวน 12,026 ยูนิต ลดลงมากถึง -59.0%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 ที่มีการเปิดตัวใหม่ 29,299 ยูนิต แบ่งเป็นอาคารชุด 7,260 ยูนิต ลดลง -61.5% โดยห้องแบบสตูดิโอ ลดลง -68.3% แต่ขณะที่ห้องชุดระดับราคา 1.51 – 1.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 233.3% และ ระดับราคา 1.751 – 2.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91.6% และราคา 1.251 – 1.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.1% ส่วนห้องชุดแบบ 1 ห้องนอน ลดลง -54.4% แต่กลุ่มห้องชุดระดับราคา 1.01 – 1.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 160.9% และห้องชุดแบบ 2 ห้องนอน ลดลง -83.0% ในทุกระดับราคา
ขณะที่บ้านแนวราบมีจำนวน 4,766 ยูนิต ลดลง -54.4% โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวลดลงถึง -38.4% แต่ขณะที่บ้านเดี่ยวระดับราคาตั้งแต่ 15 ล้านบาทขึ้นไป มีหน่วยเปิดตัวใหม่เพิ่มขึ้น 180.9% และระดับราคา 2.51 – 3 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 112.5% ส่วนบ้านแฝดลดลง -47.2%ทุกระดับราคา ทาวน์เฮ้าส์ ลดลงสูงสุดถึง -62.9% แต่กลับพบว่า ทาวน์เฮ้าส์ในระดับราคา 5.01 – 20.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56.8% และระดับราคา 1.25 – 1.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8%
โดยบ้านแนวราบระดับราคาตั้งแต่ 5-7.5 ล้านบาทมีการเปิดตัวมากที่สุด 1,121 ยูนิต รองลงมาเป็นบกลุ่มบ้านราคา 3-5 ล้านบาทจำนวน 881 ยูนิต และราคา 2.5-3 ล้านบาทจำนวน 679 ยูนิต โดยคาดว่าตลอดทั้งปี 2566 จำนวนที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่จะลดลงประมาณ -10.5%จำนวน 98,132 ยูนิต
หน่วยโอนกรรมสิทธิ์บ้านแนวราบทั่วประเทศแตะ 6 หมื่นยูนิตลดลง -6.8%
สำหรับหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศมีจำนวน 84,619 ยูนิต ลดลง -0.8% คิดเป็นมูลค่า 241,167 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.9% ประกอบด้วย บ้านแนวราบจำนวน 60,950 ยูนิต ลดลง -6.8% มูลค่า 170,686 ล้านบาท ลดลง -0.3% และห้องชุดจำนวน 23,669 ยูนิต เพิ่มขึ้น 18.7% มูลค่า 70,481 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.7% โดยกลุ่มสินค้าระดับราคา 3.01 – 5 ล้านบาท มีจำนวนเพิ่มขึ้น 12.1% ส่วนกลุ่มสินค้าราคา 5.01 – 7.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.5% และระดับราคา 7.51 – 10ล้านบาท มีจำนวนเพิ่มขึ้น 34.1%
นอกจากนี้ยังพบว่าหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของชาวต่างชาติมีจำนวน 3,775 ยูนิต เพิ่มขึ้น 79.2% มูลค่า 17,128 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีจำนวน 2,107 ยูนิต มูลค่า 10,217 ล้านบาท โดยกลุ่มลูกค้าจากประเทศจีนมีการโอนกรรมสิทธิ์สูงสุดจำนวน 1,747 ยูนิต คิดเป็น 46% มูลค่า 8,191 ล้านบาท คิดเป็น 48% ของมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คนต่างชาติทั้งหมด รองลงมาเป็นกลุ่มลูกค้าชาวรัสเซียจำนวน 387 ยูนิต มูลค่า 1,364 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มลูกค้าจากประเทศพม่าและอินเดียได้ทยอยเข้ามาห้องชุดในเมืองไทยต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
ปี 2566ปัจจัยเสี่ยงยังเยอะฉุดตลาดอสังหาฯไม่โต
ทั้งนี้จากปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นในปี 2566 ทั้งภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูงเกือบ 90%ของGDP และทิศทางของอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น รวมถึงการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ที่ยังไม่เรียบร้อย ศูนย์ข้อมูลฯคาดการณ์ว่าจะมีการออกใบอนุญาตจัดสรรทั่วประเทศ ในปีนี้ประมาณ 78,269 ยูนิต ลดลง -9.3% เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีการออกใบอนุญาตจัดสรรทั่วประเทศจำนวน 86,275 ยูนิต
ส่วนที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่พื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล คาดว่าจะมีจำนวน 98,132 ยูนิต ลดลง -10.5% มูลค่าประมาณ 505,235 ล้านบาท ลดลง -8.2% จากปี 2565 ซึ่งมีที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่จำนวน 109,591 ยูนิต มูลค่าประมาณ 550,552 ล้านบาท
ด้านหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศจะมีจำนวน 352,761 ยูนิต ลดลง -10.2% มูลค่า 1,016,838 ล้านบาท ลดลง -4.5% เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีหน่วยโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 392,858 หน่วย มูลค่า 1,065,008 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านแนวราบจำนวน 264,571 ยูนิต ลดลง -7.4% มูลค่า 753,628 ล้านบาท ลดลง -2.9% และอาคารชุดจำนวน 88,190 ยูนิต ลดลง -17.7% มูลค่า 288,485 ล้านบาท