เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ฯเผยรัฐเร่งสร้างความชัดเจนเลือกนายกฯคนที่ 30 หวังเร่งฟื้นเศรษฐกิจในประเทศ เชื่อภาพรวมตลาดอสังหาฯครึ่งปีหลังแนวราบระดับลักชัวรียังโตต่อเนื่อง ด้านแผนปีนี้จ่อผุด 7 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 15,000 ล้านบาท พร้อมเปิดแบรนด์ใหม่ “เมย์ฟีลด์” (MAYFIELD) 3 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท ส่วนคอนโดฯ 2 โครงการ อาจร่วมทุนพันธมิตรต่างชาติ หากสถานการณ์เอื้อพร้อมเปิดตัวปลายปี ตั้งเป้ากวายอดขายรวม 7,000 ล้านบาท และโกยยอดโอน 5,000 ล้านบาท
ดร.สุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MJD เปิดเผยว่า จากการที่มีประชุมรัฐสภา พิจารณาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 นั้นก็อยากให้มีความชัดเจน ว่าจะเลือกใครเข้ามาบริหารประเทศ เพื่อที่จะได้ฟื้นเศรษฐกิจประเทศให้ดีขึ้น แต่ในส่วนของโครงการของบริษัทฯที่ผ่านมา ไม่ค่อยมีผลกระทบจากปัจจัยทางการเมือง เนื่องจากเป็นสินค้าระดับลักชัวรี โดยเฉพาะโครงการแนวราบ ที่ผู้ซื้อส่วนใหญ่จะเป็นเรียลดีมานด์ และมีกำลังซื้อสูง
“ภาพรวมตลาดอสังหาฯในครึ่งปีหลัง 2566 เชื่อมั่นว่าตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบและคอนโดระดับลักชัวรียังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการในระดับบนที่มีกำลังซื้อซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มหลักที่แข็งแรง ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยกลุ่มนี้ต้องการหาที่อยู่อาศัยใหม่เพื่อการขยับขยายครอบครัวไปอยู่ในพื้นที่ที่มีคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น มีสไตล์ที่ตรงโจทย์ พื้นที่ใช้สอยที่เพิ่มขึ้น สามารถรองรับกับไลฟ์สไตล์ของสมาชิกในครอบครัวที่มีหลายวัยได้อย่างหลากหลาย” ดร.สุริยา กล่าว
สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปีนี้ จะเปิดตัวทั้งสิ้นประมาณ 5-7 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณกว่า 15,000 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 5 โครงการ มูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท โดยโครงการแนวราบนั้น จะเป็นแบรนด์ใหม่ที่เปิดตัวในปีนี้ 1 แบรนด์ คือ “เมย์ฟีลด์” (MAYFIELD) 3 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท
โครงการแรกที่เปิดตัว คือ “เมย์ฟิลด์ ปิ่นเกล้า”ตั้งอยู่บนพื้นที่ทั้งหมด 8.5 ไร่ ในซอยบรมราชชนนี 6พัฒนาเป็นทาวน์เฮาส์ลักชัวรี ในสไตล์ Urban Modern Classic ขนาดตั้งแต่ 26.64-34.63 ตารางวา ราคาขายเริ่มต้นที่ 14.5-16 ล้านบาท จำนวน 68 ยูนิต มูลค่า โครงการ 1,000 ล้านบาท โดยที่ผ่านมาได้เปิดขายในรอบ VVIP มาแล้ว สามารถทำยอดขายได้ 25% โดยส่วนใหญ่เป็นลูกค้าเก่าของบริษัทฯที่ตามมาซื้อโครงการใหม่ เนื่องจากอยู่ในทำเลที่ดี มีศักยภาพ และไม่มีซัพพลายในระดับเดียวกัน เนื่องจากทำเลดังกล่าวค่อนข้างหาที่ดินยาก ซี่งแปลงนี้เดิมเป็นสวนเก่า และบริษัทฯซื้อมาเมื่อประมาณ 3 ปีที่ผ่านมา และจะเปิดพรีเซลในวันที่ 22-23 กรกฎาคม 2566 นี้ คาดว่าจะทำยอดขายได้อีก 25% โดยบ้านจะสร้างเสร็จและทยอยโอนกรรมสิทธิ์ได้ภายในปี 2567
ส่วนอีก 2 โครงการคือ “เมย์ฟิลด์ เลน รัชดา-ลาดพร้าว” (MAYFIELD LANE RATCHADA LADPRAO) ตั้งอยู่บนพื้นที่ 2 ไร่ บริเวณซอยลาดพร้าว 26 พัฒนาในรูปแบบของบ้านแฝดและบ้านเดี่ยว พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 369.5- 454 ตารางเมตร จำนวน 11 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 39.9 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 520 ล้านบาท โดยจะเปิดพรีเซลในไตรมาส 4/2566 นี้
และ “เมย์ฟิลด์ รามอินทรา-คู้บอน” (MAYFIELD RAMINDRA KHUBON) ตั้งอยู่บนพื้นที่ทั้งหมด 40 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว ขนาดตั้งแต่ 224.4 – 299.53 ตารางเมตร จำนวน 167 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 13.9 ล้านบาทขึ้นไป มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท โดยจะเปิดพรีเซลในไตรมาส 4/2566 นี้
สำหรับแนวราบอีก 2 โครงการ คือ “มอลตัน เกสท์ กรุงเทพกรีฑา” (Malton Gates)ได้เปิดพรีเซล ไปเมื่อต้นปี 2566 แล้ว และโครงการ “เท็น แอนด์ โอนลี่”(10 & Only) บริเวณซอยพัฒนาการ 20 มีแผนจะเปิดตัวในปลายปี 2566 นี้
ส่วนคอนโดฯอีก 2 โครงการซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาว่าจะเปิดตัวในปลายปีนี้หรือไม่ ซึ่งต้องรอดูจากหลายปัจจัย อาทิ สภาวะเศรษฐกิจ,ความพร้อมของตลาด,การเมือง และลูกค้าชาวต่างชาติที่กลับมาเต็มที่แล้วหรือยัง หากมีความพร้อมก็จะเปิดตัวได้ในไตรมาส 4/2566 นี้ ซึ่งขณะนี้มีที่ดินรองรับแล้วทั้ง 2 แปลง คือ ทำเลสุขุมวิท ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 300,000 บาท/ตารางเมตบวกลบ มูลค่าโครงการ 3,250 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาจะพัฒนาในแบรนด์ใหม่หรือแบรนด์เดิม และทำเลพญาไท พัฒนาภายใต้แบรนด์ “มาร์ควิส” ราคาประมาณ 2,000 บาทปลายๆ/ตารางเมตร มูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท โดยทั้ง 2 โครงการนี้อาจจะเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรชาวต่างชาติ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจากับหลายกลุ่มทุน อาทิ เกาหลี ญี่ปุ่น และกลุ่มทุนจากหมู่เกาะบริติซ เวอร์จิน ของอังกฤษ (BVI) ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาบริษัทฯมีโครงการแนวราบ สัดส่วนที่น้อยมากประมาณ 10% เท่านั้น แต่จากช่วงวิกฤติโควิด -19 ที่ผ่านมา ความต้องการบ้านแนวราบมีเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ในปีนี้บริษัทฯได้ปรับพอร์ตโครงการแนวราบเพิ่มขึ้นเป็น 33% และในอนาคตจะให้อยู่ที่ระดับ 40% ซึ่งต้องใช้พื้นที่ในการพัฒนาตั้งแต่ 10 ไร่ขึ้นไป โดยพอร์ตหลักยังเป็นคอนโดฯที่สัดส่วน 60% โดยในปีนี้ตั้งเป้ายอดขายรวมไว้ที่ 7,000 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกสามารถทำได้แล้ว 1,500 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดโอนไว้ที่ 5,000 ล้านบาท
“บ้านหรูแนวราบกำลังปรับสู่ความสมดุลเหมือนก่อนช่วงโควิด ด้วยยังมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี มีแรงขับเคลื่อนให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เราเชื่อมั่นว่า โครงการบ้าน MAYFIELD จะประสบความสำเร็จ และเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ครองใจผู้อยู่อาศัยยุคใหม่อย่างแน่นอน
สำหรับนักลงทุนต่างชาติ ทางเรามองว่า กำลังกลับมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยผลพวงของตลาดท่องเที่ยวที่กลับมาแล้วและภาพลักษณ์ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยของรัฐบาลชุดใหม่ ทำให้บริษัทมีความต้องการที่จะเดินหน้าขยายโครงการใหม่ให้สอดรับกับความต้องการของกลุ่มลูกค้า โดยเน้นไลฟ์สไตล์ที่บ่งบอกความเป็นสุขนิยม ผสมผสานธรรมชาติ มุ่งสร้างความยั่งยืนของรูปแบบการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ และยังมองถึงเทรนด์อสังหาฯ ในยุคนี้ ที่เป็นการแข่งขันด้วยการสร้างโมเดลให้สอดคล้องไปกับเทคโนโลยีการตลาดดิจิทัล เพื่อเข้าสู่ยุค 5.0 ซึ่งความท้าทายในตลาดกำลังซื้อถูกเปลี่ยนไปอยู่ใน New Gen จึงต้องสร้างคอนเทนต์ให้ตรงกับ New Genโดยใส่ใจในสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติไปด้วย”ดร.สุริยา กล่าวในที่สุด