ลูกบ้าน “แอชตัน อโศก”ประกาศเตรียมฟ้องแพ่ง “อนันดา-มิตซุย” มูลค่าความเสียหายกว่า 5 พันล้านบาท หากไม่มาร่วมประชุมใน 7 วัน

  • Post author:
You are currently viewing ลูกบ้าน “แอชตัน อโศก”ประกาศเตรียมฟ้องแพ่ง “อนันดา-มิตซุย” มูลค่าความเสียหายกว่า 5 พันล้านบาท หากไม่มาร่วมประชุมใน 7 วัน
หลังจากศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างโครงการ “แอชตัน อโศก” ในครั้งนี้เหมือนกันการตอกย้ำความชอกช้ำให้กับเจ้าของร่วมอาคารชุดโครงการดังกล่าวเข้าไปอีก แม้ว่าทางเจ้าของโครงการจะทำหนังสือชี้แจงและจะเดินเรื่องฟ้องร้อง 8 หน่วยงานภาครัฐแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ทำให้เจ้าของร่วมอาคารชุดบรรเทาความทุกข์ใจได้แต่อย่างใด ซึ่งหลังจากที่รับรู้ข่าวสารจากสื่อต่างๆมาโดยตลอดแล้ว สุดท้ายแล้วทางเจ้าของร่วมอาคารชุดและนิติบุคคลอาคารชุดโครงการ “แอชตัน อโศก”ได้ตัดสินใจร่วมแถลงข่าว และเรียกร้องให้บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) หรือ ANAN ออกมาเคลียร์ให้ชัด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าของร่วมอาคารชุด
แหล่งข่าวจากเจ้าของร่วมอาคารชุดโครงการ “แอชตัน อโศก” เปิดเผยหลังเข้าพบ ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) ว่า หลังจากที่ทางบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) หรือ ANAN ได้เจรจากับทางเจ้าร่วมอาคารชุดโครงการ “แอชตัน อโศก” ในช่วงเย็นวันที่ 27 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา หลังศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาออกมาให้เพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างโครงการ แอชตัน อโศก ทางทีมผู้บริหาร อนันดาฯ ส่งเพียงแค่การชี้แจงข้อมูลในความสุจริตของการอนุญาตก่อสร้างโครงการอย่างถูกต้องกับหน่วยงานรัฐ แต่ยังไม่มีแนวทางออกให้กับเจ้าของร่วมอาคารชุดในการแก้ไขปัญหาเกิดขึ้น ทำให้ประเด็นดังกล่าวยังคลุมเคลือ ไม่มีความชัดเจน และส่งผลให้เจ้าของร่วมผู้พักอาศัยในโครงการ “แอชตัน อโศก” เกิดความกังวลขึ้นอย่างมากกับความไม่แน่นอน และการที่ยังไม่มีการแสดงความรับผิดชอบของเจ้าของโครงการ “แอชตัน อโศก” อย่างตรงไปตรงมา

“เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เจ้าของร่วมอาคารชุดหลายรายได้ยื่นข้อเสนอเพื่อขอเปลี่ยนโครงการไปกับทางอนันดาฯ แต่ทางอนันดาฯกลับเงียบหาย ไม่มีการตอบรับแต่อย่างใด โดยรายละเอียดของคดีนั้นทางเจ้าของร่วมอาคารชุดมารับทราบเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2564 โดยก่อนหน้านั้นได้มีการสอบถามถึงรายละเอียดของคดี แต่ทางโครงการไม่เคยเปิดเผย ไม่เคยให้รายละเอียดใดๆกับพวกเราเลย แค่บอกว่าไม่มีอะไร เป็นเรื่องเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียนทั่วไปของชาวบ้านรอบข้าง จนกระทั่งวันที่ศาลตัดสินเมื่อปี 2564 เราจึงเพิ่งเห็นรายละเอียดครั้งแรก ซึ่งในตอนนั้นหากอนันดาฯทำตามที่เจ้าของร่วมอาคารชุดต้องการ ก็จะได้ใจไปเต็มๆ”

ทั้งนี้หลังจากที่เข้าพบผู้ว่าฯกทม.แล้วมีความสบายใจขึ้นบ้างว่าจะไม่มีการสั่งทุบอาคาร แต่ในส่วนของกรอบระยะเวลา ก็ได้รอมาเป็นระยะเวลา 2 ปีแล้ว โครงการก็ยังมิได้ดำเนินการอะไร และวันนี้ทางเจ้าของโครงการก็ได้ออกหนังสือชี้แจงโครงการการได้แจ้งเจ้าของร่วมอาคารชุดเกี่ยวกับคดีในศาลมาโดยตลอด ซึ่งต้องขอ บอกว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด โดยโครงการแจ้งเจ้าของร่วมอาคารชุด ครั้งแรกในวันที่ 30 กรกฎาคม 2564 ผู้บริหารสูงสุดของบริษัทได้ออกมาคุยกับเจ้าของร่วมอาคารชุดผ่านระบบออนไลน์เท่านั้น และตั้งแต่ศาลตัดสินมาทุกคนก็ยังไม่สามารถนอนหลับได้  จึงไม่เชื่อและคาดหวังอะไรกับเจ้าของโครงการอีกต่อไปแล้ว แต่จะสามัคคีรวมตัวกันต่อสู้ เพื่อรักษาคอนโดฯซึ่งเป็นที่พักอาศัยของทุกคนเอาไว้ให้ได้

โดยยอมรับว่าในช่วงที่ได้ตัดสินใจซื้อห้องชุดพักอาศัยในโครงการ “แอชตัน อโศก” เมื่อประมาณปี 2561-2562 นั้น ที่ปรึกษาการขายของโครงการ “แอชตัน อโศก” ไม่ได้มีการแจ้งว่าโครงการดังกล่าว มีคดีความและข้อพิพาทเกิดขึ้นแต่อย่างใด และมาทราบภายหลังจากที่มีการออกข่าวมา ซึ่งยอมรับว่ามีความกังวลในประเด็นของคดีความที่จะเกิดขึ้นบ้าง แต่ยังเชื่อมั่นในการเดินหน้าของบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) ที่จะสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในการดำเนินการขอใบอนุญาตอย่างถูกต้องได้

ซึ่งในช่วงที่มาซื้อห้องชุดมาในราคาประมาณ 8 ล้านบาท และมาทราบภายหลังว่าโครงการมีปัญหา ส่งผลให้ตนมีปัญหาในเรื่องของการใช้บริการสินเชื่อจากธนาคาร ไม่สามารถที่จะดำเนินการ Refinance เปลี่ยนไปใช้ธนาคารอื่นได้ ทำได้เพียงแต่ Retension ลดดอกเบี้ยได้เพียงเล็กน้อยกับธนาคารเดิมที่ใช้บริการ แต่ปัจจุบันดอกเบี้ยได้มีการปรับสูงขึ้นตามการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย และปัจจุบันใกล้จะครบกำหนดระยะเวลาของการ Retension ซึ่งยังไม่แน่นอนว่าทางธนาคารหรือทางอนันดาฯจะไปเจรจากันเพื่อช่วยเหลือเจ้าของร่วมอาคารชุดอย่างไรได้บ้าง แต่หากมองไปที่การขายห้องชุดออกไปในตอนนี้ยอมรับว่าไม่มีใครซื้อต่อเลย หรือปล่อยเช่าก็ได้ราคาไม่สูง โดยในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ราคาเช่าอยู่ที่ประมาณ 20,000 บาท/เดือน ปัจจุบันราคาเช่าปรับขึ้นมาเล็กน้อยที่ 25,000 บาท/เดือนขึ้นไป

“พอศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งพิพากษาออกมา เจ้าของห้องชุดทุกคนถึงกับมีอาการเครียด บางคนถึงกับเป็นโรคซึมเศร้า ชาวต่างชาติที่ซื้อห้องชุดก็ได้แต่พูดว่า Thailand บางคนที่มีสามีเป็นชาวต่างชาติก็ยังไม่กล้าบอกสามี  เพราะไม่คิดว่าเรื่องราวจะบานปลายมาถึงขนาดนี้ สำรับดิฉันเองที่ผ่านมาทางครอบครัวก็ซื้อคอนโดฯของอนันดาฯมาหลายโครงการ เพราะทุกโครงการอยู่ในทำเลที่ดี ติดแนวรถไฟฟ้า  แต่พอมาเจอเคสนี้ ได้ตัดสินใจขายทั้งหมด เหลือแต่เพียง ‘แอชตัน อโศก’ที่ตั้งใจซื้อเก็บไว้เป็นสมบัติให้ลูกสาว หากปัญหาทุกอย่างสามารถแก้ไขได้ ก็คงจะเก็บห้องชุดที่ซื้อไว้ ‘เพื่อเป็นตำนาน’ อีกทั้งที่ตั้งโครงการก็อยู่ในทำเลที่ดีด้วย และต่อไปนี้คงไม่กล้าซื้อคอนโดฯติดแนวรถไฟฟ้าอีกต่อไปแล้ว จะเอาเงินไปซื้อที่ดินเก็บไว้ดีกว่า”

และในช่วงเวลาประมาณ 15.30 น.ทางนิติบุคคลอาคารชุด “แอชตัน อโศก”ได้มีการจัดแถลงข่าว เพื่อให้สาธารณชนได้เข้าใจถึงผลกระทบ ความเดือดร้อนเสียหายของเจ้าของร่วมในโครงการดังกล่าว โดยนายพิสุทธิ์ รักวงษ์ ตัวแทนกฎหมายนิติบุคคล โครงการ “แอชตัน อโศก” กล่าวว่า หลังจากได้เข้าพบผู้ว่าฯกทม.เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2566 ทำให้มีความมั่นใจว่ายังสามารถอยู่อาศัยในอาคารชุดดังกล่าวได้เหมือนเดิม เพราะไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงภัย ยังมีการเปิดทางเข้าออกเหมือนเดิมพร้อมยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมขอให้ผู้ว่าฯกทม.ตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างกทม. เจ้าของโครงการและตัวแทนของลูกบ้านว่าจะหาแนวทางแก้ไขกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดอย่างไร ซึ่งทางผู้ว่าฯกทม.ได้กล่าวว่าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือเจ้าของร่วมอาคารชุดดังกล่าว เพราะผู้อยู่อาศัยไม่อยากอยู่ในอาคารชุดที่ไม่มีใบอนุญาตก่อสร้างด้วยความหวาดกลัว

นอกจากนี้หลังจากได้รับหนังสือชี้แจงจากอนันดาฯ ฉบับล่าสุดเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา ได้พบข้อเท็จจริงสะท้อนความจริงใจบางอย่างจากอนันดาฯ ซึ่งแถลงการณ์นี้ที่รับไม่ได้เลย คือ ระบุว่าลูกบ้านได้รับทราบสถานะของคดีมาโดยตลอด การที่อนันดาฯออกแถลงการณ์เช่นนี้ เพราะกำลังยกข้อต่อสู้เรื่องของการรอนสิทธิเพราะเท่ากับว่าเจ้าของร่วมอาคารชุดทราบดีอยู่แล้ว แต่กลับสมัครใจรับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด เพื่อปฎิเสธความรับผิดชอบ และให้ความรับผิดตกอยู่ไปอยู่กับเจ้าของร่วมอาคารชุดทั้งหมด นี่คือเจตนาที่แท้จริงของอนันดาฯที่ไม่ยอมทำข้อบันทึกข้อตกลงชดใช้ค่าเสียหายแก่เจ้าของร่วมอาคารชุดตั้งแต่แรก แสดงให้เห็นอนันดาฯกำลังใช้มาตรการทางกฎหมายมาต่อสู้กับเจ้าของร่วมอาคารชุด

ทั้งนี้การที่ทางเจ้าของร่วมอาคารชุด เปิดข้อเสนอเยียวยากับอนันดาฯนั้น ไม่ใช่ครั้งแรก แต่เป็นข้อเสนอเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา หลังศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาวันที่ 30 กรกฎาคม 2564 ซึ่งเจ้าของร่วมอาคารชุดเกิดความกังวลใจว่า อาคารจะอยู่ต่ออย่างไร จึงขอให้อนันดาฯทำข้อตกลงยืนยันว่า หากสุดท้ายแล้วคอนโดฯดังกล่าวจะต้องมีการรื้อถอน ทางอนันดาฯจะต้องมีการชดใช้เยียวยาให้เจ้าของร่วมอาคารชุด รวมถึงขอเปลี่ยนโครงการหรือไปอยู่โครงการอื่นๆของอนันดา หรือขอให้คืนเงิน เพียงเป็นการเซ็นข้อตกลงระหว่างรอคำพิพากษาจากศาลปกครองสูงสุดไปด้วยกันในขณะนั้น เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าที่ตัดสินใจเลือกแบรนด์นี้ แต่อนันดาฯไม่ได้รับการเซ็นยินยอม จนศาลมีคำพิพากษาวันที่ 27 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา

“เราเสนอใหม่ เพราะถ้าอนาคตอนันดาฯไม่สามารถหาทางเข้าออกได้ถูกต้อง เพื่อขอใบอนุญาตใหม่ ซึ่งขณะนี้เจ้าของร่วมอาคารชุดอยู่บนความไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าจะหาทางออกได้หรือไม่ได้ ขอให้อนันดาฯเซ็นรับรองว่าจะไม่ทิ้งกันจริงๆ แต่สิ่งที่อนันดาฯตอบกลับมา ไม่มีสิ่งที่เจ้าของร่วมอาคารชุดขอ แต่เป็นการออกแถลงการณ์โต้แย้งกลับมา หากเจ้าของร่วมอาคารชุดรู้โครงการมีคดีความ คงไม่มีใครเสี่ยงซื้อห้องชุดที่มีมูลค่าสูงอย่างแน่นอน“นายพิสุทธิ์กล่าว

นายพิสุทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีดังกล่าวทำให้รู้ว่าเป็นการวางแผนของอนันดาฯทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ว่าภาครัฐหรือกับเจ้าของร่วมอาคารชุด และจากการตรวจสอบงบการเงินของอนันดาฯเกี่ยวกับคดีความนี้ ไม่มีการสำรองเงินค่าเสียหายไว้หากต้องจ่าย มีแต่คำแถลงการณ์ว่าเชื่อมั่นที่จะชนะคดี แต่สุดท้ายผลคดีออกมาแล้ว และอนันดาฯไม่มีการเตรียมการหรือแผนการจะรองรับเยียวยาความเสียหายแก่เจ้าของร่วมอาคารชุด นอกจากแจ้งว่าจะไปฟ้องรัฐเพื่อนำเงินมาเยียวยาเจ้าของร่วมอาคารชุด ซึ่งไม่ทราบว่าจะต้องใช้ระยะเวลาอีกนานเพียงใด และจะชนะคดีหรือไม่ เพราะขณะนี้ความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว สภาพคล่องการซื้อขายคอนโดฯแทบจะไม่มีผู้เช่า จึงเกิดความกังวลจะอยู่อาศัยระยะยาวได้หรือไม่ บางคนอาจถอดใจไม่ผ่อนชำระกับสถาบันการเงิน ส่งผลให้เกิดเป็นหนี้เสีย หรือเมื่อชำระเงินไปแล้ว อาจจะเหลือกระดาษ หรือถ้าสุดท้ายแล้วคอนโดฯถูกทุบทิ้ง ผู้เช่าก็คงไม่อยากอยู่อาศัยอีกต่อไป

ข้อเรียกร้องคือให้อนันดาฯแสดงความจริงใจ ในการเข้ามาร่วมประชุมกับตัวแทนนิติบุคคลภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2566 นี้ หากไม่มา เราก็มีความจำเป็นต้องดำเนินการฟ้องร้องต่อไป โดยจะฟ้องแพ่งบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)ผู้รับประโยชน์ของโครงการและยินยอมใช้เครื่องหมายการค้าอนันดา และบริษัท มิตซุย ฟูโดซัง จำกัด ในฐานะผู้ถือหุ้น ที่กระทำการไม่สุจริต เอาเปรียบผู้บริโภค จะมีการเรียกค่าเสียหายกว่า 5,000 ล้านบาท โดยคิดตามมูลค่าที่ลูกบ้านอยู่อาศัย คือ 580 ครัวเรือน ซึ่งยังไม่รวมดอกเบี้ย ค่าตกแต่ง โดยจะดำเนินการฟ้องร้องภายใน  1 ปีนับจากนี้ เพราะต้องใช้เวลารวบรวมเอกสารและมีลูกบ้านอยู่ต่างประเทศด้วย  ดังนั้นจึงอยากฝากถึงอนันดาฯให้แสดงความจริงใจ ความรับผิดชอบ ความศรัทธาออกมาให้เจ้าของร่วมอาคารชุดได้เห็นด้วย”

 

 

toppercool

CEO,Prop2morrow Blogger อสังหาฯ , นักการตลาดดิจิตัล สาย Content marketing