9 บริษัทอสังหาฯปลื้มผลประกอบการครึ่งปีแรก’66 ยอดขาย-รายได้-กำไรโตถ้วนหน้า

  • Post author:
You are currently viewing 9 บริษัทอสังหาฯปลื้มผลประกอบการครึ่งปีแรก’66 ยอดขาย-รายได้-กำไรโตถ้วนหน้า
ผลประกอบการ 9 บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯครึ่งปีแรก 66 รายได้-กำไรโตถ้วนหน้า “เอพี” รายได้รวมมากถึง 23,856 ล้านบาท กำไรสุทธิ 3,023 ล้านบาท เตรียมเปิดตัว 40 โครงการใหม่ มูลค่ารวมประมาณ 55,940 ล้านบาท  ด้าน “ศุภาลัย” โกยรายได้รวม 14,346 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,781 ล้านบาท ครึ่งปีหลังจ่อผุด 27 โครงการ มูลค่ารวม 28,610 ล้านบาท ขณะที่ “ออริจิ้น”ทำพรีเซลทำนิวไฮท์ต่อเนื่อง 12,461 ล้านบาท ส่วน “เสนา”โกยรายได้ 6 เดือน 3,840 ล้านบาท จัดทัพโครงสร้างทางการเงิน พร้อมขยายพอร์ตในธุรกิจใหม่ ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยทุกช่วงวัย “เพอร์เฟค” ปรับตัวดีขึ้นทุกพอร์ต รายได้เติบโต 17.2% กำไรขั้นต้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 35.7% ครึ่งปีหลัง ลุยเปิด 9 โครงการใหม่ มูลค่า 13,250 ล้านบาท พราว เรียล เอสเตท”โชว์ผลประกอบการครึ่งปีแรก รายได้ 1,192 ล้านบาท โต 984% กำไรสุทธิ  147 ล้านบาท กวาดยอดขาย รวม 1,072 ล้านบาท โตขึ้น 42% “ไรมอน แลนด์” มียอดขาย 753 ล้านบาท โกยยอดโอนมากถึง 3,600 ล้านบาท ปักเป้ายอดขายรวมทุกโครงการปีนี้ 6,700 ล้านบาท “สิงห์ เอสเตท” รายงานรายได้รวมจากการขายและการบริการสำหรับครึ่งปีแรกปี 66 จำนวน 6,843 ล้านบาท พร้อมส่งสัญญาณการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ เร่งเครื่องพัฒนาโครงการบ้านแนวราบทั้ง 5 โครงการ มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท เพื่อรับรู้รายได้ครึ่งปีหลังอย่างเต็มที่ ผลักดันผลประกอบการทั้งปีเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ตบท้ายด้วย “เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง” ยอดขายแจ่ม มีกำไรสุทธิ 120.16 ล้านบาท ผลกำไร 56.82 ล้านบาท เร่งปรับทัพขยายโครงการแนวราบต่อครึ่งปีหลัง
นายวิทการ จันทวิมล
APประกาศรายได้ครึ่งปีแรก 23,856 ล้านบาท
นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ AP เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2566 มีรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่นๆ ได้สูงถึง 23,856 ล้านบาท กำไรสุทธิเท่ากับ 3,023 ล้านบาท ทั้งนี้ ณ ไตรมาส 2 ที่ผ่านมาบริษัทฯ สามารถสร้างรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่นๆ ได้สูงถึง 12,051 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีรายได้รวมเท่ากับ 11,805 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิ 1,544 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิรวมเท่ากับ 1,478 ล้านบาท เท่ากับ 4.5%

ทั้งนี้ ในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา สินค้ากลุ่มแนวราบอย่างทาวน์โฮมและบ้านเดี่ยวยังถือเป็นคีย์ไดรฟ์สำคัญในการเติบโตทางรายได้และกำไรอย่างแข็งแกร่ง โดยรายได้ที่เกิดขึ้นมาจากสินค้าแนวราบคิดเป็นมูลค่า 17,358 ล้านบาท หรือคิดเป็น 73% ของสัดส่วนรายได้รวมทั้งหมด ซึ่งมีบ้านเดี่ยวแบรนด์ THE CITY, CENTRO และบ้านกลางเมือง เป็นกำลังหลักหนุนสร้างรายได้รวมในกลุ่มแนวราบ

สำหรับสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียม ภาพรวมธุรกิจเริ่มมีแนวโน้มเป็นบวก ประกอบกับสัญญาณการโอนกรรมสิทธิ์เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยบริษัทฯ รับรู้รายได้จาก ASPIRE รัตนาธิเบศร์ เวสต์ตันASPIRE เอราวัณ ไพร์ม และคอนโดมิเนียมร่วมทุนอย่าง RHYTHM เจริญกรุง พาวิลเลี่ยน ที่ทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องในไตรมาสที่ผ่านมา

โดย ณ วันที่ 31 กรกฎาคม บริษัทฯ มียอดขายรวมกว่า 46,819 ล้านบาท และในครึ่งปีหลังบริษัทฯ เตรียมเปิดตัว 40 โครงการใหม่ มูลค่ารวมประมาณ 55,940 ล้านบาท โดยเป็นทาวน์โฮม 19 โครงการ มูลค่า 19,550 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 14 โครงการ มูลค่า 24,750 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่า 8,300 ล้านบาท และต่างจังหวัด 4 โครงการ มูลค่า 3,340 ล้านบาท ส่งผลให้ตลอดครึ่งปีหลังเอพีจะมีโครงการพร้อมขายทั้ง กทม. และต่างจังหวัดมากกว่า 179 โครงการ มูลค่ากว่า 143,367 ล้านบาท

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม

“ศุภาลัย” โชว์รายได้รวม 14,346 ล้านบาท

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI กล่าวว่า ผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรก 2566 มีรายได้รวม 14,346 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากการโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ทั้งในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และภูมิภาค โดยแบ่งเป็นรายได้กลุ่มสินค้าแนวราบ 65% ซึ่งถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ และรายได้กลุ่มคอนโดมิเนียม 35% ด้านกำไรสุทธิเท่ากับ 2,781 ล้านบาท และอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ระดับ 50% ส่วนต้นทุนการเงินที่อัตราเฉลี่ย 2.30% ต่อปี ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 โดยมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 19,804 ล้านบาท  ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 โดยคาดว่าจะสามารถทยอยโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้าและรับรู้เป็นรายได้ในปี 2566 อีกจำนวน 11,606  ล้านบาท พร้อมกันนี้บริษัทฯ ยังเดินหน้าสรรหาที่ดินในทุกทำเล สำหรับรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ๆ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และยังเตรียมส่งมอบคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าสามารถทำผลงานถึงเป้ายอดขายและรายได้ที่ตั้งไว้เช่นเดิม

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลประกอบการงวดครึ่งปีแรกให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.70 บาท โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิเงินปันผล (XD) 22 ส.ค. 66 และจ่ายเงินปันผล วันที่  6 กันยายน 2566

อย่างไรก็ดี บริษัทฯมั่นใจครึ่งปีหลัง 2566 ภาพรวมตลาดอสังหาฯ มีแนวโน้มเริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยบวกโดยเฉพาะการเติบโตของสภาพเศรษฐกิจและการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้บริษัทฯ เตรียมเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ รวม 27 โครงการ มูลค่ารวม 28,610 ล้านบาท

 นายพีระพงศ์ จรูญเอก

“ออริจิ้น” เสริมแกร่งร่วมทุนบ้าน-คอนโด-โรงแรม-คลังสินค้า 25 โครงการ  

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 2/2566 (เมษายน – มิถุนายน 2566) บริษัทมีกิจกรรมการโอนกรรมสิทธิ์โครงการที่อยู่อาศัยกว่า 4,812 ล้าน เติบโต 9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า จากกลุ่มโครงการที่ไม่ได้ร่วมทุน (Non-JV) และ โครงการร่วมทุน (JV) ที่ทยอยโอนตามแผน ขณะเดียวกัน บริษัทยังทำสถิติยอดขาย (พรีเซล) โครงการที่อยู่อาศัยสู่ระดับ New-High ได้อย่างต่อเนื่อง อยู่ที่ 12,461 ล้านบาท ส่งผลให้ครึ่งปีแรกมียอดพรีเซลสะสมแล้วราว 54% ของเป้าหมายทั้งปี

อีกทั้ง ในไตรมาสนี้บริษัทเดินหน้าร่วมทุน (Joint Venture หรือ JV) กับพันธมิตร โดยมีการร่วมทุนใหม่ทั้งฝั่งบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม โรงแรม และคลังสินค้า รวม 25 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 25,270 ล้านบาท (รวมมูลค่า REIT ประมาณการณ์ของโครงการโรงแรมและคลังสินค้า) สูงที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท แบ่งเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรด้านการเงินการลงทุน (Investment Partner) จำนวน 11 โครงการ มูลค่าประมาณ 12,144 ล้านบาท และพันธมิตรเจ้าของที่ดิน (Landlord Partner) จำนวน 14 โครงการ มูลค่าประมาณ 13,126 ล้านบาท ซึ่งบริษัทเริ่มเดินหน้าเปิดกว้างการร่วมทุน (Open Platform) มากขึ้นในกลุ่มพันธมิตรเจ้าของที่ดินโดยตั้งแต่ปลายปี 2565 ที่ผ่านมา ได้มีการพัฒนาโมเดลการร่วมทุนกับเจ้าของที่ดินให้ชัดเจนขึ้น ส่งผลให้ครึ่งปีแรก บริษัทมีทั้ง Investment Partner และ Landlord Partner เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีที่ดินในทำเลศักยภาพทั้งในและต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น โดยใช้เงินทุนน้อยลงในการพัฒนาโครงการ ตอบโจทย์การขยายจักรวาลตามแผน Origin Infinity กระจายพื้นที่สร้างรายได้ในทำเลศักยภาพใหม่ๆ ทั่วประเทศ สร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้แก่การเติบโตของบริษัทในระยะยาว

ขณะที่กลุ่มธุรกิจโรงแรมภายใต้ บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน) หรือ ONEO นั้น โรงแรมที่เพิ่งเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในช่วงปลายไตรมาส 1/2566 อย่างโรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท (Staybridge Suites Bangkok Sukhumvit) โรงแรมแบรนด์ Staybridge Suites จากเครืออินเตอร์คอนติเนนตัล กรุ๊ป (IHG) ก็ได้รับการตอบรับอย่างยอดเยี่ยม มีอัตราการเข้าพักสูงสุดในช่วงเดือนมิถุนายน ถึง 92.13% จากผลการดำเนินงานทั้งหมด ส่งผลให้ภาพรวมในไตรมาส 2/2566 ของเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 873 ล้านบาท เติบโต 9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

จากผลการดำเนินงานที่มีเสถียรภาพและรักษาระดับการเติบโตตลอดช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติเห็นชอบให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญจ่ายปันผลสำหรับกำไรสะสมและผลการดำเนินงานของบริษัทงวด 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2566 ในอัตรา 0.16 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินปันผลจ่ายเป็นเงินสดทั้งสิ้นไม่เกิน 392,659,592 ล้านบาท โดยขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 28 สิงหาคม 2566 กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 29 สิงหาคม 2566 และกำหนดจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นภายในวันที่ 13 กันยายน 2566

สำหรับช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 (กรกฎาคม – ธันวาคม 2566) แม้สภาพตลาดยังมีปัจจัยที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดหลากหลายปัจจัย อาทิ การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ การปรับตัวของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่จากแผนการขยายธุรกิจทั้งเครือสู่พื้นที่หัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศในปีนี้ ส่งผลให้บริษัทมีโอกาสเข้าถึงตลาดศักยภาพใหม่ๆ ที่มีความต้องการสูง และยังไม่มีคู่แข่งทางตรง บริษัทจึงจะยังคงเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ตามแผนงานที่วางไว้ และพิจารณาร่วมทุนโครงการใหม่ๆ ในทำเลต่างๆ เพิ่มเติมอีกราวไตรมาสละประมาณ 5-10 โครงการ

นางสาวอธิกา บุญรอดชู

“เสนา”เดินเกมรุก H1/66 โกยรายได้ 3,840 ลบ. โต 92%                                      

นางสาวอธิกา บุญรอดชู ผู้อำนวยการฝ่ายจัดสรรเงินทุนและการลงทุน บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทเสนา และบริษัทย่อย ในช่วงครึ่งปีแรก  2566  มีรายได้จากอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น 3,840  ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 92% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 2,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการรับรู้รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ของโครงการที่ไม่ได้ร่วมทุน  1,111 ล้านบาท และรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ของโครงการร่วมทุน 2,729 ล้านบาท ในส่วนของยอดขาย (Presale) 6 เดือน อยู่ที่ 5,383 ล้านบาท โดยประกอบด้วยยอดขายอสังหาริมทรัพย์จากโครงการที่ไม่ได้ร่วมทุน  1,352 ล้านบาท และยอดขายอสังหาริมทรัพย์จากโครงการร่วมทุน 3,521 ล้านบาท

บริษัทมีรายได้รวม 4,427 ล้านบาท (อ้างอิงหมายเหตุประกอบงบการเงิน) ประกอบด้วยรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 3,840 ล้านบาท ธุรกิจเช่าและบริการ 307 ล้านบาท และ รายได้จากธุรกิจโซลาร์ 280 ล้านบาท ซึ่งมีความสามารถในการทำกำไรขั้นต้น ร้อยละ 35 และมีความสามารถในการทำกำไรสุทธิร้อยละ 9.5 ซึ่งคิดเป็นกำไรสุทธิงวด 6 เดือน เท่ากับ 239 ล้านบาท ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปัจจัยหลักมาจากในงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรพิเศษจากการต่อรองราคาซื้อบริษัท SENX  และมีการปรับสัญญาว่าจ้างบริหารโครงการและรับรู้รายการขายทรัพย์สินของบริษัทย่อย

คณะกรรมการบริษัทฯ ได้เล็งเห็นถึงแนวทางการบริหารความเสี่ยงให้สอดรับกับสถานการณ์ การเงินและภาวะดอกเบี้ยของโลกที่อยู่ในช่วงขาขึ้น  รวมถึงการเคลื่อนไหวของตลาดเงิน ตลาดทุนในปัจจุบัน เพื่อให้บริษัทฯ มีความเข้มแข็งของกระแสเงินสดเพื่อรองรับความเสี่ยงจากปัจจัยดังกล่าว  จึงมีมติงดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในปี 2566 และจะดำเนินการพิจารณาเรื่องการจ่ายปันผลอีกครั้งในรอบสิ้นปี 2566

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังมีสถานะความเข้มแข็งของยอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2566  ยังคงเติบโต ทั้งของบริษัทฯ และบริษัทย่อยคิดเป็นมูลค่า 6,879  ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่ไม่ได้ร่วมทุน ประมาณ 868 ล้านบาท และโครงการร่วมทุน 6,010 ล้านบาท พร้อมทั้งเตรียมโอนกรรมสิทธิ์ในครึ่งปีหลัง จำนวน 4 โครงการ

นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต

“เพอร์เฟค” ครึ่งปีแรกรายได้โต  ลุยเปิด 9 โครงการใหม่ดันผลประกอบการครึ่งปีหลัง

นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF กล่าวว่าในครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้จากการดำเนินงาน 4,958 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  โดยเป็นการเติบโตจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 0.3% จากธุรกิจโรงแรมซึ่งเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมากที่ 125.2% และจากธุรกิจให้เช่าและบริการอีก 56.0%

ในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้น ปรับตัวแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 35.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 25.5% โดยครึ่งปีแรกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีกำไรขั้นต้น 33.3% เทียบกับปีก่อนที่ 29.4%  ธุรกิจโรงแรมฟื้นตัวอย่างชัดเจนที่ระดับ 48.2% เทียบกับครึ่งปีแรกของปีก่อนที่ 6.3% และธุรกิจให้เช่าและบริการ ทำได้ 9.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ -1.1% อีกทั้งยังมีส่วนแบ่งกำไรจากโครงการร่วมทุนเข้ามาอย่างมีนัย เป็นจำนวน 116 ล้านบาท เป็นบวกเมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปี 2565 ที่มีผลขาดทุนที่ 42 ล้านบาท

“สำหรับรายได้จากการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 13,000 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 9,600 ล้านบาท ธุรกิจโรงแรม 2,850 ล้านบาท และธุรกิจเช่าและบริการ 550 ล้านบาท นอกจากนี้ยังจะมีรายได้จากโครงการร่วมทุนอีก 5,000 ล้านบาท ครึ่งปีหลังบริษัทยังมีความพร้อมในการเปิดโครงการใหม่ได้อย่างเต็มที่ โดยจะเดินหน้าเปิด 9 โครงการ มูลค่ารวม 13,250 ล้านบาท ซึ่งยังคงเน้นตลาดแนวราบและกระจายในทุกเซกเมนต์”

สำหรับธุรกิจโรงแรมของกลุ่มบริษัทมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรงแรมในกรุงเทพ ซึ่งมีอัตราเข้าพักเพิ่มสูงขึ้น โดย 6 เดือนแรกของปีนี้อัตราเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 70% เทียบกับปีก่อนที่อยู่ในระดับ 35% ขณะที่โรงแรมในต่างจังหวัดยังคงได้รับความนิยมจากคนไทยที่ท่องเที่ยวในประเทศ โดยอัตราเข้าพักเฉลี่ย 6 เดือนแรกของปีอยู่ที่ 50% อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่ารายได้จากธุรกิจโรงแรมทั้งปีนี้ จะมากกว่าปีก่อนถึง 57% โดยเป็นผลพวงมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในครึ่งปีหลังซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว

นายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ

“พราว”โชว์งบครึ่งปีแรกกวาดยอดขาย 1,192 ล้านบาท โต 984% ส่งซิกครึ่งปีหลัง 66 โตต่อ

นายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PROUD กล่าวว่า ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2566 รายได้รวม 1,192 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,082 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 110  ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 984% และมีกำไรสุทธิ 147 ล้านบาท เพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 58 ล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 2/66 มีรายได้รวม 288 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 178 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 110  ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 162% และมีกำไรสุทธิ 9 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 20  ล้านบาท ภาพรวมยอดขายของบริษัทฯ ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากการเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนการดำเนินงานที่วางไว้ คาดยอดขายทั้งปีเป็นไปตามเป้าหมาย 1,705 ล้านบาท

ปัจจุบันบริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) 9,800 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ตอนนี้จนถึงปี 2569

 นายกรณ์ ณรงค์เดช

“ไรมอน แลนด์” ยอดขาย 6 เดือนแรก โต 42% โชว์แบ็กล็อกรอโอนกว่า 4,682 ลบ. 

 นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด(มหาชน) หรือ RML กล่าวว่า  ภาพรวมผลการดำเนินงาน 6 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม-มิถุนายน 2566) ของบริษัทฯ ถือว่าประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ สะท้อนให้เห็นได้จากยอดขาย (Presales) ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสแรก โดยหลักๆ มาจากโครงการสร้างเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ “ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์” คอนโดฯ อัลตร้าลักชัวรี่ ใกล้ BTS พร้อมพงษ์ และ ดิ เอ็มดิสทริค (The Em District)  ในขณะเดียวกันทางด้านยอดขายก็ได้รับการตอบรับที่ดีมาก ทุกโครงการที่เปิดขายอยู่ใกล้จะปิดการขาย (sold out) แล้ว โดย “ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์” มียอดขายถึง 90%** และ “เทตต์ สาทร ทเวลฟ์” (Tait Sathorn12) คอนโดฯ ลักชัวรี่ใจกลางสาทร กวาดยอดขายไปแล้วถึง 95% รวมถึงบริษัทฯ ยังมีรายได้จากค่าเช่าพื้นที่ในอาคารสำนักงานลักชัวรี่ Grade A+ อย่าง  “โอซีซี” (วัน ซิตี้ เซ็นเตอร์)’ โดยมีอัตราการเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกรวมถึงความสนใจจากลูกค้าแล้วประมาณ 70%** สะท้อนถึงความต้องการคอนโดฯ ลักชัวรี่และอัลตร้า ลักชัวรี่รวมทั้งอาคารสำนักงาน Grade A+ ที่ยังคงมีอยู่มาก

สำหรับแผนงานในช่วง 6 เดือนสุดท้ายของปี 2566 บริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้(Backlog) จำนวน 4,682 ล้านบาท ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 ยิ่งขึ้น

นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์

 “สิงห์ เอสเตท” มั่นใจปี 66 โตแกร่ง บรรลุเป้ารายได้ All-Time High

นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด(มหาชน)หรือ S ประกาศรายได้รวมจำนวน 6,843 ล้านบาท และรายงานกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และรายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำจากการดำเนินงานปกติ (Adjusted EBITDA) ที่ 1,493 ล้านบาท พุ่งขึ้น 33% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน พร้อมกางแผนครึ่งปีที่เหลือ เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจให้ขยายตัวต่อเนื่อง ด้วยการเปิดตัวโครงการที่พักอาศัยระดับลักชัวรี จำนวน 5 โครงการ มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาทตามแผน โดยบ้านเดี่ยวโครงการแรกจะเริ่มเปิดตัวในเดือนกันยายน ทิศทางการเติบโตสูงสุดของธุรกิจโรงแรมโดยเฉพาะในไตรมาส 4 จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ และอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ที่ยังคงเดินหน้าตามแผนงานอย่างต่อเนื่อง หนุนด้วยธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโรงไฟฟ้าที่เตรียมเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ช่วงปลายปีนี้

รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ ประกอบด้วย (1) ยอดโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัยสะสม 6 เดือนจำนวน 1,172 ล้านบาท ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการเปิดตัว “ลาซัวว์ เดอ เอส” โครงการ Cluster Home ระดับอัลตร้าลักชัวรี ซึ่งเป็นแบรนด์ใหม่และถือเป็นโครงการแฟล็กชิพของสิงห์ เอสเตทฯ ด้วยสถิติราคาขายสูงสุดถึงกว่า 550 ล้านบาทต่อหลัง ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าทำให้สามารถรับรู้ยอดโอนได้ทันทีภายหลังการเปิดตัวในไตรมาส 2 ที่ผ่านมานี้ (2) รายได้จากการขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรม จำนวน 36 ล้านบาท และ (3) การรับรู้ค่าเช่าของโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ ตามสัญญาเช่าพื้นที่ระยะยาวจำนวน 175 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจาทำสัญญากับผู้เช่ารายอื่นเพื่อกระตุ้นให้เกิดการปล่อยเช่าระยะยาว เพื่อรักษาระดับอัตราการปล่อยเช่าให้ผันผวนต่ำ ท่ามกลางสภาวะการแข่งขันที่รุนแรงจากอุปทานพื้นที่เช่าที่ทยอยเพิ่มมากขึ้นในอนาคต

สำหรับรายได้จากการให้บริการของบริษัทฯ เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มีสาเหตุสำคัญมาจากรายได้ของธุรกิจโรงแรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนสู่ 4,821 ล้านบาท เนื่องจากการท่องเที่ยวทั่วโลกขยายตัวดีตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา สอดคล้องการเปิดประเทศทั่วโลก จากจุดแข็งด้านทำเลที่ตั้งของโรงแรมของ SHR ที่อยู่ในจุดหมายปลายทางอันดับต้น ๆ ของการท่องเที่ยว หนุนด้วยมาตรฐานการบริการที่เป็นเลิศ และกลยุทธ์ทางการตลาดเชิงรุก ส่งผลต่อการเติบโตของอัตราการเข้าพักเฉลี่ย (Occupancy Rate) ของทั้งพอร์ตโฟลิโอที่ปรับสูงขึ้นถึงประมาณ 70% ในครึ่งปีแรกของปี 2566 ด้วยอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยรายวัน (Average Daily Rate: ADR) ที่เพิ่มขึ้นถึงมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน อย่างไรก็ตามรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ในช่วงครึ่งปีแรกจำนวน 508 ล้านบาทค่อนข้างทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากการทยอยรับรู้รายได้ภายหลังการเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ของอาคารเอส โอเอซิส (S OASIS) ซึ่งมีพื้นที่เช่ามากกว่า 53,000 ตารางเมตร

“สิงห์ เอสเตท มีความมั่นใจที่จะขับเคลื่อนรายได้ตามเป้าหมายที่เราวางไว้ทั้งปี กว่า 16,000 ล้านบาท พร้อมวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับต่อยอดการเติบโตให้กับผลการดำเนินงานในปีถัด ๆ ไป นอกจากนี้ เราประสบความสำเร็จในการขายหุ้นกู้ ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนอย่างล้นหลาม ด้วยมูลค่าเสนอขายทั้งสิ้น 1,700 ล้านบาท สำหรับรองรับการขยายธุรกิจเพื่อเดินหน้าสู่ความเป็นเลิศของผลประกอบการ ด้วยพันธสัญญาในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น และสร้างคุณค่าที่ยังยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม”นางฐิติมา กล่าวในที่สุด

นายสมนึก  ตันฑเทอดธรรม

“เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง” ยอดขายแจ่ม กำไรสุทธิ 120.16 ล้านบาท

นายสมนึก  ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ NCH กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของครึ่งปีแรกปี 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิ 120.16 ล้านบาท มีรายได้จากการดำเนินงานรวม 1,340.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.06 ล้านบาท จากครึ่งปีแรกของปี 2565 ซึ่งรายได้จากการขายโครงการแนวราบยังเติบโต พร้อมด้วยรายได้ค่าเช่าและบริการ ที่เป็นส่วนที่มีการเติบโตต่อเนื่องมาอยู่ที่ 27 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.44 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 31.05% จากครึ่งปีแรกของปี 2565 ส่วนที่มีการเติบโตมากสุดคือธุรกิจบริการฟื้นฟูสุขภาพและดูแลผู้สูงอายุ ตามด้วย NC Regen Sport & Wellness Center

ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2566 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ  56.82 ล้านบาท  และบริษัทย่อย มีรายได้จากการดำเนินงานรวม 676.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.90 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.19 จากไตรมาส 2/2565 โดยมีรายได้หลักเป็นรายได้จากการขาย 661.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/2565 จำนวน 18.23 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.83 จากส่วนงานแนวราบเป็นหลัก ขณะที่รายได้ค่าเช่าและบริการเพิ่มขึ้น 2.32 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.79 จากไตรมาส 2/2565 นำโดยการเติบโตสูงสุดจากธุรกิจบริการฟื้นฟูสุขภาพและดูแลผู้สูงอายุ ธุรกิจบริหารโครงการ และธุรกิจอาคารพักอาศัยให้เช่า ตามลำดับ

ด้านฐานะทางการเงินของบริษัท มี D/E Ratio 0.73 ถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับในอุตสาหกรรมเดียวกัน มีสินทรัพย์รวม 5,358.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 249.55 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.88 จากสินทรัพย์รวม ณ สิ้นปี 2565

นายสมนึก กล่าวต่อไปว่า บริษัทฯยังคงมุ่งเดินหน้าเพื่อเปิดตัวโครงการแนวราบใหม่ในปี 2566 รุก 6 โครงการ มูลค่ารวม 4,900 ล้านบาท พัฒนาสินค้าทาวน์เฮาส์, บ้านแฝด, บ้านเดี่ยว ระดับราคา 3-5 ล้านบาท ด้วยราคาที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดบ้านแนวราบ โดยขยายทำเลเพิ่มครอบคลุมพื้นที่ 4 ทำเลศักยภาพ (โซนเหนือ, โซนตะวันตก, โซนใต้ และโซนตะวันออก ของกรุงเทพฯและปริมณฑล) เพิ่มกำลังการผลิตบ้านด้วยระบบเทคโนโลยีการก่อสร้างทันสมัยขยายฐานลูกค้าใหม่ในกลุ่มตลาดบ้านแนวราบ ทำให้ เอ็น.ซีฯมีความพร้อมที่จะเดินตามแผน ในตลาดศักยภาพใหม่ๆ รุกต่อด้วยเป้ายอดขายปี 2566 ที่ 5,500 ล้านบาท และเป้าหมายรับรู้รายได้ 3,200 ล้านบาท

 

toppercool

CEO,Prop2morrow Blogger อสังหาฯ , นักการตลาดดิจิตัล สาย Content marketing