สำรวจตลาดที่อยู่อาศัยภาคใต้ครึ่งปีแรกสต็อกเหลือขาย 15,004 ยูนิตเพิ่มขึ้น 9.6%

You are currently viewing สำรวจตลาดที่อยู่อาศัยภาคใต้ครึ่งปีแรกสต็อกเหลือขาย 15,004 ยูนิตเพิ่มขึ้น 9.6%

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  รายงานภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยภาคใต้ 4 จังหวัดที่ยังอยู่ระหว่างขายในช่วงครึ่งแรกปี 2566 มีหน่วยเหลือขาย 15,004 ยูนิต เพิ่มขึ้น 9.6% คาดการณ์ตลอดทั้งปี 2566 จะมีที่อยู่อาศัยเข้ามาในตลาดจำนวน 5,858 ยูนิต มูลค่า 19,042 ล้านบาท ขายได้ใหม่ 5,233 ยูนิต มูลค่า 20,512 ล้านบาท

ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ผลการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยภาคใต้ 4 จังหวัดในช่วงครึ่งแรกปี 2566 ที่ผ่านมามีจำนวนอุปทานพร้อมขายจำนวน 17,719 ยูนิต มูลค่า 75,841 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 9.4% มูลค่าเพิ่มขึ้น 5.2% ตามลำดับ แบ่งเป็นโครงการอาคารชุด 5,627 ยูนิต มูลค่า 23,376 ล้านบาท และโครงการบ้านจัดสรร 12,092 ยูนิต มูลค่า 52,465 ล้านบาท ส่วนโครงการใหม่มีเปิดตัวเข้าสู่ตลาด 3,905 ยูนิต มูลค่า 12,695 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 390% และ% 210.6 ตามลำดับ

ทั้งนี้จังหวัดภูเก็ตมีสินค้าเสนอขายมากที่สุดถึง 7,507 ยูนิต มูลค่า 36,662 ล้านบาท ขณะที่จังหวัดสงขลามีจำนวน 5,388 ยูนิต มูลค่า 20,780 ล้านบาท แต่มีการเปิดตัวโครงการใหม่มากที่สุดทั้งบ้านจัดสรรและอาคารชุดรวม 1,782 ยูนิต มูลค่า 6,187 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 1,224 ยูนิต มูลค่า 5,109 ล้านบาท และอาคารชุด 558 ยูนิต มูลค่า 1,079 ล้านบาท

ขณะที่โครงการขายได้ใหม่มีจำนวน 2,715 ยูนิต มูลค่า 10,694 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 1,398 ยูนิต มูลค่า 6,153 ล้านบาท และอาคารชุด 1,317 ยูนิต มูลค่า 4,541 ล้านบาท ทำเลที่มีหน่วยขายได้สูงสุด 5 อันดับแรกคือ  ตลาดใหญ่-ตลาดเหนือ จำนวน 462 ยูนิต มูลค่า 857 ล้านบาท,ทำเลในเมืองกระทู้ จำนวน 219 ยูนิต มูลค่า 552 ล้านบาท,หาดบางเทา-หาดสุรินทร์ จำนวน 216 ยูนิต มูลค่า 1,507 ล้านบาท,ทำเลประดู่-บางชุมโถ จำนวน 185 ยูนิต มูลค่า 484 ล้านบาท และเกาะแก้ว- รัษฎา จำนวน 173 ยูนิต มูลค่า 1,419 ล้านบาท

โดยจังหวัดภูเก็ตมีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่มากที่สุด 1,465 ยูนิต มูลค่า 6,400 ล้านบาท มีอัตราการดูดซับที่ 3.3% ต่อเดือน รองลงมาเป็นจังหวัดสงขลาขายได้ใหม่ 604 ยูนิต มูลค่า 2,083 ล้านบาท มีอัตราการดูดซับ 1.9% ต่อเดือน ส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี ขายได้ใหม่ 459 ยูนิต มูลค่า 1,515 ล้านบาท มีอัตราการดูดซับ 2.3% ต่อเดือน และจังหวัดนครศรีธรรมราช ขายได้ใหม่รวม 187 ยูนิต มูลค่า 697 ล้านบาท และมีอัตราการดูดซับ 2% ต่อเดือน

ส่งผลให้มีหน่วยเหลือขาย 15,004 ยูนิต มูลค่า 65,147 ล้านบาท จำนวนหน่วยเพิ่มขึ้น 9.6% และมูลค่าเพิ่มขึ้น 5.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย 5 ทำเลที่มีจำนวนหน่วยเหลือขายมากที่สุดใน 4 จังหวัดภาคใต้ คือ ทำเลเทพกระษัตรี-ศรีสุนทร จำนวน 1,401 ยูนิต มูลค่า 5,359 ล้านบาท,ทำเลท่าข้าม-ควนหิน จำนวน 1,003 ยูนิต มูลค่า 4,261 ล้านบาท,ทำเลประดู่-บางชุมโถ จำนวน 929 ยูนิต มูลค่า 2,790 ล้านบาท,ทำเลเกาะแก้ว-รัษฎา จำนวน 877 ยูนิต มูลค่า 6,989 ล้านบาท และทำเลหาดบางเทา-หาดสุรินทร์ จำนวน 857 ยูนิต มูลค่า 5,319 ล้านบาท  โดยระดับราคาที่มีหน่วยเหลือขายมากที่สุดคือ 3.01-5 ล้านบาท มีจำนวนถึง 5,406 ยูนิต มูลค่า 22,609 ล้านบาท

จังหวัดภูเก็ตเปิดตัวสินค้าใหม่ 1,604 ยูนิตมูลค่า 6,400 ล้านบาท

สำหรับพื้นที่สำรวจจังหวัดภูเก็ตครึ่งแรกปี 2566 มีที่อยู่อาศัยเสนอขายรวมทั้งสิ้น 7,507 ยูนิต ลดลง -4.8% มูลค่า 36,662 ล้านบาท และ ลดลง -7.4% โดยแบ่งเป็นบ้านจัดสรร 3,290 ยูนิต มูลค่า 17,629 ล้านบาท อาคารชุด 4,217 ยูนิต มูลค่า 19,033 ล้านบาท โดยมีสินค้าเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวน 1,604 ยูนิต เพิ่มขึ้น 237% มูลค่า 4,506 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54.5%

ส่วนจำนวนหน่วยขายได้ใหม่มีจำนวน 1,465 ยูนิต เพิ่มขึ้น 18.5% มูลค่า 6,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.5% และจำนวนหน่วยเหลือขาย 6,042 ยูนิต ลดลง -9.1% มูลค่า 30,262 ล้านบาท ลดลง -10.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565

ทั้งนี้ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯคาดการณ์ว่าทั้งปี 2566 จะมีที่อยู่อาศัยเข้ามาในตลาดจำนวน 2,406 ยูนิต มูลค่า 6,759 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ 2,789 ยูนิต มูลค่า 12,146 ล้านบาท ส่งผลให้มีหน่วยเหลือขาย 5,520 ยูนิต มูลค่า 27,621 ล้านบาท

สต็อกสินค้าเหลือขายจังหวัดสงขลาครึ่งปีแรกแตะ 4,784 หน่วยเพิ่มขึ้น 40.9%

สำหรับครึ่งแรกปี 2566 ในพื้นที่จังหวัดสงขลามีที่อยู่อาศัยเสนอขายรวมทั้งสิ้น 5,388 ยูนิต มูลค่า 20,708 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.7% และเพิ่มขึ้น 35.2% โดยแบ่งเป็นบ้านจัดสรร 4,534 ยูนิต มูลค่า 18,820 ล้านบาท และอาคารชุด 854 ยูนิต มูลค่า 1,960 ล้านบาท

ส่วนที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวน 1,782 ยูนิต เพิ่มขึ้น 552.7% มูลค่า 6,187 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 555.6% -Itmujหน่วยขายได้ใหม่มีจำนวน 604 หน่วย เพิ่มขึ้น 16.8% มูลค่า 2,083 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.9% และจำนวนหน่วยเหลือขาย 4,784 ยูนิต เพิ่มขึ้น 40.9% มูลค่า 18,697 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565

โดยคาดการณ์ว่าทั้งปี 2566 จะมีที่อยู่อาศัยเข้ามาในตลาดจำนวน 2,673 ยูนิต มูลค่า 9,281 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ 1,229 ยูนิต มูลค่า 4,209 ล้านบาท และหน่วยเหลือขาย 5,050 ยูนิต มูลค่า 19,589 ล้านบาท

“สุราษฎร์ธานี”เปิดขายใหม่จำนวน 432 ยูนิต เพิ่มขึ้น 1,036.8%

ผลสำรวจตลาดอสังหาฯในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีที่อยู่อาศัยเสนอขายรวมทั้งสิ้น 3,279 ยูนิต มูลค่า 12,120 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.1% และเพิ่มขึ้น 39.5% โดยแบ่งเป็นบ้านจัดสรร 2,723 ยูนิต มูลค่า 9,738 ล้านบาท อาคารชุด 556 ยูนิต มูลค่า 2,382 ล้านบาท

ด้านที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดมีจำนวน 432 ยูนิต เพิ่มขึ้น 1,036.8% มูลค่า 1,573 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 775.8 ส่วนจำนวนหน่วยขายได้ใหม่อยู่ที่ 459 ยูนิต เพิ่มขึ้น 37.8% มูลค่า 1,515 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.3% และ,uจำนวนหน่วยเหลือขาย 2,820 ยูนิตเพิ่มขึ้น 42.9% มูลค่า 10,605 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565

โดยคาดการณ์ว่าตลอดทั้งปี 2566 จะมีที่อยู่อาศัยเข้ามาในตลาดจำนวน 648 ยูนิต มูลค่า 2,359 ล้านบาท ส่วนจำนวนหน่วยขายได้ใหม่อยู่ที่ 863 ยูนิต มูลค่า 2,844 ล้านบาท และมีหน่วยเหลือขาย 2,632 ยูนิต มูลค่า 9,830 ล้านบาท

“นครศรีธรรมราช”เปิดขายเฉพาะบ้านแนวราบ

สำหรับครึ่งแรกปี 2566 ในพื้นที่สำรวจจังหวัดนครศรีธรรมราช มีที่อยู่อาศัยเสนอขายรวมทั้งสิ้น 1,545 ยูนิต มูลค่า 6,279 ล้านบาท ลดลง -26.4% และ -25.6% ตามลำดับ โดยเป็นโครงการบ้านจัดสรรทั้งหมด ขณะที่ที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวน 87 ยูนิตเท่านั้น เพิ่มขึ้น 770% มูลค่า 429 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 823.9%

ส่วนจำนวนหน่วยขายได้ใหม่อยู่ที่ 187 ยูนิต ลดลง -55.9% มูลค่า 697 ล้านบาท ลดลง -56.9% และจำนวนหน่วยเหลือขาย 1,358 ยูนิต ลดลง -18.9% มูลค่า 5,582 ล้านบาท ลดลง -18.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565  ทำให้คาดการณ์ว่าทั้งปี 2566 จะมีที่อยู่อาศัยใหม่เข้ามาในตลาดจำนวน 131 ยูนิต มูลค่า 644 ล้านบาท หน่วยขายได้ใหม่ 352 ยูนิต มูลค่า 1,313 ล้านบาท และมีหน่วยเหลือขายอยู่ในตลาด 1,236 ยูนิต มูลค่า 5,081 ล้านบาท