3 สมาคมฯปลื้มผู้ประกอบการจองพื้นที่งาน “มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 44”เต็มพิกัด ผู้ประกอบการรายใหญ่แห่รวมงานเพียบ ระบุ “แสนสิริ”คัมแบ็กกลับมาอีกครั้งในรอบมากกว่า 8 ปี มั่นใจมีสีสันกว่าทุกครั้ง จับตา Gen Z เริ่มเพิ่มบทบาทกระตุ้นอุปสงค์ตลาดอสังหาฯ ล่าสุดมีผู้ลงทะเบียนล่วงหน้าแล้วกว่า 5,000 คน คาดว่ามียอดขายรวม 3,000-3,500 ล้านบาท และผู้เข้าร่วมงานประมาณ 100,000 คน

ดร.ทัพพ์เทพ ภัคกระนก ประธานคณะกรรมการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 44 เปิดเผยว่า งานดังกล่าวเป็นการร่วมมือของ สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร,สมาคมอสังหาริมทรัพย์ และสมาคมอาคารชุดไทย ระหว่างวันที่ 2-5 พฤศจิกายน 2566 เวลา 10.00 – 20.00 น. ณ ฮอลล์ 5 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ บนพื้นที่ประมาณ 6,000 ตารางเมตร โดยครั้งนี้จะชูคอนเซ็ปต์ “Property Solutions” ครบจบทุกอย่างในงานเดียว เป็นการยกระดับการจัดงานเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิต ทุกดีมานด์ และทุกช่วงวัยของผู้บริโภค ซึ่งในงานจะมีทั้งหมด 150 บริษัท นำสินค้ามานำเสนอรวมมากกว่า 1,000 โครงการจากทั่วประเทศ มีทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และจากเชียงใหม่ ภูเก็ต ชลบุรี เป็นต้น โดยมีโครงการบ้านเดี่ยวมากที่สุด ประมาณ 30% ทาวน์เฮาส์ 25% คอนโดฯ 35% และอื่นๆ 10% เช่น ซัพพลายเออร์ต่างๆ วัสดุก่อสร้าง ธนาคาร และกลุ่มสินทรัพย์รอการขาย (Non-Performing Asset : NPA) ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการจองพื้นที่เต็มหมดเรียบร้อยแล้ว
โดย 3 บริษัทอันดับแรกที่จองพื้นที่ในการจัดงานมากที่สุดคือ 1.บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน)หรือ ORI จำนวน 34 บูธ พื้นที่ 306 ตารางเมตร 2.บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด(มหาชน)หรือ ANAN จำนวน 20 บูธ พื้นที่ 180 ตารางเมตร และ 3.บริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด(มหาชน) หรือ CMC จำนวน 20 บูธ พื้นที่ 180 ตารางเมตร
และที่น่าสนใจและน่าจับตามมองคือมีบริษัทอสังหาฯรายใหญ่บางราย เช่น บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน)หรือ SIRI ที่ไม่ได้มาร่วมออกบูธงานมหกรรมบ้านและคอนโดฯนานมากกว่า 8 ปีแล้ว ได้จับจองพื้นที่การจัดงานจำนวน 8 บูธ พื้นที่ 72 ตารางเมตร ซึ่งมองในมุมบวกเป็นเพราะว่าการจัดงานดังกล่าวเป็นงานที่ใหญ่ ปีละ 2 ครั้ง จะมีการวางงบประมาณในการจัดประชาสัมพันธ์งานให้ ใช้งบถึง 22 ล้านบาท โดยที่ผู้ประกอบการไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด อีกทั้งยังได้รับผลตอบรับที่ดีจากการร่วมงาน อีกทั้งในปีนี้จะเป็นครั้งแรกที่ค่ายรถยนต์ บริษัท มิลเลนเนียม ออโต๊ กรุ๊ป จำกัด ผู้จำหน่ายรถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู และ แบรนด์มินิ จะนำรถยนต์ไฟฟ้าเข้าร่วมงานนี้ด้วย รวมถึงผู้ให้บริการตู้ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (อีวีชาร์จเจอร์) มาร่วมงานด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ตามที่คณะกรรมการจัดงานได้คาดการณ์ว่ากลุ่มลูกค้าที่สนใจเข้าชมงานตลอด 4 วัน จะอยู่ที่ประมาณ 80,000 คน โดยมีกลุ่ม Gen Y มากที่สุดที่ 70% เพราะเป็นกลุ่มที่มีรายได้มั่นคง อาจมองหาที่อยู่อาศัยหลังที่ 2-3 หรือซื้อเพื่อการลงทุนปล่อยเช่า ตามมาด้วยกลุ่ม Gen X 15% และ Gen Z ที่ 10% ซึ่งกลุ่มนี้มีความต้องการที่อยู่อาศัยมาก โดยเฉพาะในพื้นที่กทม. แต่จะนิยมเช่ามากกว่าซื้อ โดยมี 2 เหตุผลหลักคือ ไม่ต้องการมีภาระในการกู้ซื้อ และเมื่อหากเปลี่ยนงานใหม่ ก็สามารถย้ายที่อยู่ใหม่ได้ในทันที นอกนี้ยังมีลูกค้าในกลุ่มอื่นๆ อีก 5% ซึ่งจะให้งานมหกรรมบ้านและคอนโดฯกลายเป็นงานแสดงสินค้าที่อยู่อาศัยที่ครอบคลุมผู้บริโภคทุกกลุ่ม ด้วยความพรั่งพร้อมของทุกประเภทสินค้า ทั้งยังมีสถาบันการเงินมาช่วยสนับสนุนในด้านบริการสินเชื่อ
“ที่น่าจับตามองก็คือ กลุ่ม Gen Z ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่จัดงาน โดยกลุ่มนี้จะมีทั้ง First Jobber และ Self-employed หรือผู้ทำงานส่วนตัว ที่สร้างรายได้ด้วยอาชีพและช่องทางที่เกิดขึ้นใหม่ เช่น Youtuber Tiktoker คอนเทนต์ครีเอเตอร์ และขายของออนไลน์ นอกจากนี้ Gen Z ยังมีไลฟ์สไตล์ใหม่ และมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยประเภทบ้านและคอนโดฯ ทั้งเพื่ออยู่อาศัยเองและเพื่อปล่อยเช่า ในขณะที่กลุ่มลูกค้า Gen X และ Gen Y ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความมั่นคงและมีบ้านเป็นของตัวเองแล้ว อาจมองหาบ้านหลังที่ 2 หรือเพื่อการลงทุน และปล่อยเช่าให้ Gen Z ซึ่งจะเลือกซื้อคอนโดฯ ทำเลใกล้รถไฟฟ้า ใกล้ที่ทำงาน หรือไลฟ์สไตล์ มอลล์ ที่ตัวเองไปใช้ชีวิต แต่หากเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ เช่น Youtuber หรืออินฟลูเอนเซอร์ ก็จะเลือกซื้อบ้าน เพื่อทำเป็นโฮมออฟฟิศ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม เพราะต้องการแยกพื้นที่ทำงานและบ้านให้เป็นสัดส่วน ตามแนวคิด Work-life Balance ของคนรุ่นใหม่ โดยเน้นที่ทำเลนอกเมือง เช่น วัชรพล รามอินทรา กรุงเทพกรีฑา พุทธมณฑล ราชพฤกษ์ บางนา บางพลี เป็นต้น อีกทั้งยังเป็นกลุ่มที่ตัดสินใจซื้อค่อนข้างเร็ว หากถูกใจจะวางเงินจองทันทีตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้าชมโครงการ ส่วนกลุ่มที่เป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์จะนิยมซื้อแบบเงินสด เพราะไม่ต้องการมีภาระเรื่องการกู้สินเชื่อ”ดร.ทัพพ์เทพ กล่าว
สำหรับกลยุทธ์ในการสื่อสารกับกลุ่ม Gen Z จะต้องเน้นถึงความเป็นปัจเจกชน ต้องระบุให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสินค้ามีความแตกต่างจากคู่แข่งอย่างไร และเนื่องจากเป็นกลุ่มที่ตัดสินใจง่าย นิยมเปิดรับข้อมูลเพื่อซื้อผ่านช่องทางออนไลน์แพลตฟอร์มต่างๆ และการรีวิวโครงการจากอินฟลูเอนเซอร์ รวมถึงต้องทำ Sale Gallery ให้สวย สามารถดึงดูดและสร้างความประทับใจ ตั้งแต่พบเห็นครั้งแรก
ในส่วนของผู้ประกอบการมีการปรับตัวเพื่อเข้าถึง Gen Z มากขึ้น ด้วยการเสนอจุดเด่นและโปรโมชั่นให้กับลูกค้า โดยผู้ประกอบการอาจจะมีโปรโมชั่นแถมหรือลดราคามากขึ้น กรณีลูกค้าชำระเป็นเงินสด หรือชูจุดเด่นของโครงการ ไม่ว่าจะเป็นวัสดุที่เลือกใช้มีความพิเศษต่างจากโครงการอื่นอย่างไร สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง ระบบความปลอดภัย Pet Friendly เป็นต้น ปัจจุบันผู้ประกอบการมีการนำ Proptech เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการอยู่แล้ว อาทิ จุดชาร์จรถไฟฟ้า ระบบโซล่าเซลล์ หรือ โฮมออโต้เมชั่นต่างๆ
หากเป็นคอนโดฯ ก็จะมีระบบอ่านป้ายทะเบียนรถยนต์บริเวณทางเข้า หรือ ระบบจอดรถอัตโนมัติ (Auto parking) เป็นต้น ซึ่งการที่ผู้ประกอบการปรับตัวเพื่อรับลูกค้า Gen Z มากขึ้น ก็เพื่อเปิดโอกาสในการทำตลาดและการขายให้กว้างขึ้น เพราะลูกค้ากลุ่มนี้เริ่มมีบทบาทเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในการกระตุ้นอุปสงค์ของตลาดอสังหาฯ ของไทย ขณะเดียวกัน ก็ยังพยายามรักษาฐานลูกค้ากลุ่ม Gen X และ Gen Y ซึ่งเป็นกลุ่มที่จะลงทุนซื้อเพื่อปล่อยเช่าให้ Gen Z อีกที ส่วนฟังก์ชันและระบบต่างๆ ที่ดีเวลลอปเปอร์เลือกใช้ก็สามารถตอบโจทย์ได้ทุก Gen อยู่แล้ว ล่าสุดมีผู้ลงทะเบียนล่วงหน้ามาแล้วกว่า 5,000 คน คาดว่าจะมียอดขายรวมประมาณ 3,000-3,500 ล้านบาท และยอดผู้เข้าร่วมงานประมาณ 100,000 คน มากกว่าการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 43 ที่ทำยอดขายได้กว่า 2,000 ล้านบาท และมียอดผู้เข้าร่วมงานกว่า 50,000 คน