ศุภาลัย มองเทรนด์ “บ้านรักษ์โลก” ควงพันธมิตรพิชิตเป้า NO.1 บ้านติดโซลาร์

  • Post author:
You are currently viewing ศุภาลัย มองเทรนด์ “บ้านรักษ์โลก” ควงพันธมิตรพิชิตเป้า NO.1 บ้านติดโซลาร์

กลุ่มคน Gen Y ในช่วงอายุ 20 ปีปลาย ถึง 40 ปีต้น เป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่ซื้อบ้านมากที่สุด และให้ความสำคัญกับ Energy Saving Innovation

เต-ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เผยข้อมูลช่วงอายุและเทรนด์ความต้องการที่อยู่อาศัยตามช่วงวัย โดยกลุ่มคนซื้อบ้านของศุภาลัยมีหลากหลายแต่ช่วงอายุที่เป็นฐานลูกค้ากลุ่มหลักมากที่สุดคือช่วง 20 ปีปลาย ไปจนถึง ช่วง 40 ปีต้น ซึ่งเป็นช่วงของการสร้างตัวและต้องการที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง หากพิจารณาตามช่วงอายุนั้น กลุ่มคน Baby Boomer อายุ 55 ปี ขึ้นไป ให้ความสำคัญในการเลือกที่อยู่อาศัยโดยพิจารณาแบรนด์เป็นสำคัญ และตัดสินใจซื้อเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น กลุ่มคน GenX ช่วงอายุ 40 – 54 ปี มองหาบ้านที่ตอบไลฟ์สไตล์ของการอยู่อาศัยในแบบของตัวเอง หากเป็นบ้านประหยัดพลังงานด้วยก็จะดีแต่ในขณะเดียวกันนั้นก็ยังไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก ด้านกลุ่มคน Gen Y อายุ 25 – 39 ปี ให้ความสำคัญกับบ้านที่อยู่อาศัยสะดวก ปลอดภัย และ มองว่า Energy Saving Innovation เป็นเรื่องสำคัญ หนึ่งในปัจจัยหลักที่ตัดสินใจซื้อ ขณะที่ Gen Z ช่วงอายุ 10 -24 ปี ต้องการที่อยู่อาศัย ในแบบ Living Innovation รวมถึงบ้านที่ก่อสร้างและส่งมอบ จะต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

กลุ่มคน Gen Z และ Gen Y เป็นสองกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง Green Environmentally เป็นอย่างมาก ซึ่งมีรวมกันมากถึงกว่า 40% ประกอบกับแนวโน้มการเกิดของประชากรมีจำนวนลดลง ส่งผลให้กลุ่มคนทั้งสองกลุ่มนี้มีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นในอนาคต และคนอายุ 20 ปีปลาย ถึง 40 ปีต้น จะเป็นกลุ่มคนที่ซื้อบ้านเป็นหลัก

“หลายคนบอกว่าตอนนี้คน Gen Z เริ่มเช่ามากขึ้น แต่จะเช่าก็ต้องมีบ้านที่สร้างเพื่อรองรับและตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนกลุ่มนี้อยู่ดี ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม Age Group ยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการขายกลุ่มลูกค้าที่จะมาซื้ออสังหาริมทรัพย์อยู่ดี เพราะฉะนั้น เราก็ต้องทำสินค้าที่รองรับความต้องการในอนาคตอีก 10 ปี ข้างหน้า จะมีบ้านที่ตอบโจทย์เขาอยู่ดี และโจทย์เขาก็ยังคงเหมือนเดิม คือทำยังไงที่จะมีบ้านที่รักษ์โลกมากขึ้น” ไตรเตชะ กล่าว

ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าที่ซื้อบ้านศุภาลัย 2 ใน 3 เป็นกลุ่มคน Gen Y รองลงมาเป็นกลุ่มคน Gen X โดยมองอนาคตในอีก 10 ปี ข้างหน้าในปี 2032 สัดส่วนของลูกค้าจะเปลี่ยนแปลงไปโดยกลุ่มคน Gen Z และ Gen Y จะเป็นกลุ่มที่ครองตลาดชัดเจนมากขึ้นมีสัดส่วนรวมกันถึง 90% และเป็นกลุ่ม “ซื้อบ้าน” ที่บ้านจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน รวมทั้งซื้อสินค้าจากผู้พัฒนาอสังหาฯที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

ศุภาลัย เริ่มแล้ว “บ้านรักษ์โลก” ตอบโจทย์ชีวิตคนรุ่นใหม่

การจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์กลุ่มคน Gen Z และ Gen Y จะต้องเลือกทุกอย่างด้วยความพิถีพิถันเป็นอย่างดี ให้กลุ่มลูกค้าเห็นว่า บริษัทฯมีความมุ่งมั่นที่จะเติบโตไปควบคู่กับการรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม โดย ศุภาลัย ตั้งเป้าหมายระยะกลาง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 40 % ภายในปี 2573 วางแผนผลักดันการใช้พลังงานสะอาด สำหรับที่อยู่อาศัย พร้อมหนุนให้ลูกบ้านศุภาลัยได้อยู่อาศัยในบ้านประหยัดพลังงานอย่างแท้จริง ด้วยการติดตั้ง “โซลาร์เซลล์” ตั้งเป้าเพื่อพิชิตยอด 15,000 หลัง ภายในปี 2571 โดยปัจจุบันได้อยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการที่จะดำเนินการติดตั้งไปแล้วกว่า 30 % ครอบคลุมกว่า 29 จังหวัด ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวสามารถคำนวณยอดผลิตกระแสไฟฟ้ารวมได้ 82,300 เมกะวัตต์ ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 49,300 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เสมือนการปลูกต้นไม้ทดแทน 3.2 ล้านต้น และลูกบ้านศุภาลัย สามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้ถึง 20,000-30,000 บาทต่อปี

ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ (ซ้าย) และ กิตติพงษ์ ศิริลักษณ์ตระกูล รองกรรมการผู้จัดการ (ขวา)

5 เรื่องสำคัญที่ศุภาลัยเริ่มพัฒนาเพื่อตอบรับเทรนด์ของผู้บริโภคที่หันมาให้ความใส่ใจมากขึ้น มองหาที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตั้งแต่การออกแบบและพัฒนาไปถึงการส่งมอบบ้านที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ ประกอบด้วย

    1. นวัตกรรมเพื่อการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม บริษัทฯ ได้ออกแคมเปญ “Supalai Self-Proved ผลลัพธ์ของนวัตกรรมการก่อสร้างรักษ์โลก ผ่าน Supalai Waste Meter มาตรวัดปริมาณขยะจากการก่อสร้างโดยให้น้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด และนวัตกรรมด้านต่างๆ อาทิ การออกแบบบ้าน/อาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การออกแบบเพื่อลดเศษวัสดุเหลือใช้ การออกแบบเพื่อลดมลพิษทางอากาศ ซึ่งในนวัตกรรมบางอย่างที่ต้องอาศัยการผลิตขึ้นมาใหม่
    2. การเป็นบ้านประหยัดพลังงาน มีการออกแบบวางผังตัวบ้าน/ตัวอาคารให้อยู่ในแนวเหนือใต้เพื่อหลบแดดและรับลม เน้นการออกแบบช่องเปิดประตูหน้าต่างหลายทิศทางเพื่อการระบายอากาศที่ดี และมีการเลือกใช้วัสดุที่ช่วยระบายความร้อน
    3. การออกแบบเพื่อคนทุกวัย (Universal Design) โดยบริษัทฯ คำนึงถึงการออกแบบฟังก์ชันภายในบ้าน และการใช้งานต่างๆ เพื่อรองรับทุกเพศ ทุกวัยให้ได้รับความสะดวกสบาย ความปลอดภัยอย่างเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะฟังก์ชันเพื่อตอบโจทย์ผู้สูงอายุ และผู้พิการ เลือกใช้วัสดุปูพื้นที่ช่วยลดการลื่นและการกระแทก ไม่มีธรณีประตู ลดความต่างระดับ สำหรับกรณีการใช้รถเข็นได้สะดวกยิ่งขึ้น
    4. การปฏิวัติใช้พลังงานสะอาด นอกจากการติดตั้งโซลาร์เซลล์ และจุดติดตั้ง EV Charger ให้กับลูกบ้านของศุภาลัยกว่า 15,000 หลังทั่วประเทศแล้ว วางเป้าหมาย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 40 %ภายในปี 2030 และมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่เติบโตอย่างยั่งยืน โดย อาคารศุภาลัย แกรนด์ ทาวเวอร์ สำนักงานใหญ่ติดตั้งโซลาร์ เซลล์ 450 กิโลวัตต์ ซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 330,397 กิโลวัตต์ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 198 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ประหยัดค่าไฟฟ้าได้กว่า 1.5 ล้านบาทต่อปี และยังมีการติดตั้ง ณ สำนักงานขายทั่วประเทศ และสโมสรส่วนกลาง สามารถลดค่าใช้จ่ายค่าส่วนกลางให้กับลูกบ้านได้อีกด้วย
    5. กิจกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สนับสนุนนโยบายระดับประเทศด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ให้ความสำคัญและส่งเสริมความยั่งยืนในมิติการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมทุกภาคส่วนขององค์กร อาทิ การปลูกต้นไม้บนที่ดินของบริษัทฯเพื่อช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์, เปลี่ยนการใช้ปุ๋ยเคมี สู่ปุ๋ยอินทรีไบโอฯ,กิจกรรมร่วมแบ่งปันเสื้อผ้า และสิ่งของส่งต่อให้คนงานก่อสร้าง, สนับสนุนสินเชื่อ Green Loan

ควง 2 พันธมิตร ขึ้นแท่น NO.1 บ้านติดโซลาร์

เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำอสังหาฯ ที่ใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อม บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ชวนพันธมิตรธุรกิจด้านเทคโนโลยี ยักษ์ใหญ่ระดับประเทศ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จํากัด และ บริษัท ไอออน เอนเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ร่วมผนึกความแข็งแกร่ง สร้างความเชื่อมั่นสู่การเป็น No.1 “บ้านติดโซลาร์” โดยเฟสแรกได้ดำเนินแผนการติดตั้งโซลาร์เซลล์ให้ลูกบ้านศุภาลัย ประเดิม 1,500 หลังทั่วประเทศ พร้อมดูแลระบบติดตั้ง บำรุงรักษา รวมถึงความรู้ความเข้าใจด้านการใช้งาน และร่วมกันผลักดันการใช้พลังงานสะอาดในครัวเรือน ซึ่งนอกจากจะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าให้กับลูกค้า ยังเป็นวิธีที่ช่วยไม่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ช่วยลดภาระให้แก่โลก

นายโลแกน ยู ประธานกรรมการกลุ่มธุรกิจดิจิทัลพาวเวอร์ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จํากัด เปิดเผยว่า ในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาด ผู้ออกแบบโซลูชันอุปกรณ์แปลงผันกำลังไฟฟ้า ระบบกักเก็บพลังงาน ตลอดจนระบบการจัดการและแสดงผลอัจฉริยะด้านดิจิทัลพาวเวอร์สำหรับทั้งภาคธุรกิจและครัวเรือน หัวเว่ยส่งเสริมให้ทั้งภาคองค์กรและครัวเรือนในประเทศไทย ร่วมติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ผ่านความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์รายสำคัญ สนับสนุนองค์ความรู้ทางด้านวิชาการและเทคโนโลยี รวมทั้งช่วยพัฒนาโมเดลธุรกิจและการออกแบบระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ผ่านโปรแกรม Smart Design 2.0 สำหรับกลุ่มที่อยู่อาศัยและภาคธุรกิจของ บมจ.ศุภาลัย โดยร่วมกับไอออน เอเนอร์ยี่ ในการสนับสนุนด้านการประชาสัมพันธ์เพื่อโปรโมทโซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นในประเทศไทย

นายพงศภัค นครศรี กรรมการบริหาร บริษัท ไอออน เอนเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ION ผู้นำธุรกิจจัดหาโซลูชั่นพลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์ครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบ จัดหา และติดตั้ง รวมถึงการดูแลบริการหลังการขายสำหรับภาคครัวเรือน อสังหาริมทรัพย์ และองค์กรธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กล่าวว่า ปัจจุบันทั่วโลกมีแนวโน้มการใช้พลังงานไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เพื่อลุยภารกิจพิชิต Net Zero สู่อนาคตที่ยั่งยืน เทรนด์ติดตั้ง Solar Roof มีเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่อาศัย (Residential) โดยได้ร่วมออกแบบและติดตั้ง Solar Roof ให้กับบ้านในโครงการของศุภาลัย และเซ็ตมาตรฐานการติดตั้งด้วยอุปกรณ์แผงโซลาร์เซลล์ระดับ Tier 1 คู่กับ Huawei Inverter และ สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล (BCC) ที่ได้รับรองคุณภาพตามมาตรฐานสากล โดยผู้ผลิตบริษัท Bangkok Cable เพื่อยกระดับการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ให้ถูกต้องตรงตามมาตรฐานบ้านศุภาลัยทั้งในด้านคุณภาพและประสิทธิภาพ

ศุภาลัย เดินหน้าผลักดันองค์กรเต็มสูบเพื่อมุ่งสู่ความยั่งยืนพร้อมยกระดับการอยู่อาศัยตอบโจทย์คนรุ่นใหม่โดยวางเป้าหมายของการเติบโตควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน