เอสซี แอสเสทมุ่งสร้างพอร์ตธุรกิจตอบโจทย์“มหาศาล-มั่นคง-สมดุล”

You are currently viewing เอสซี แอสเสทมุ่งสร้างพอร์ตธุรกิจตอบโจทย์“มหาศาล-มั่นคง-สมดุล”

เอสซี แอสเสท กำลังก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 3 ท่ามกลางความผันผวนสูงด้านเศรษฐกิจที่ได้รับปัจจัยกระทบทั้งจากภายในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งมีความเชื่อมต่อสูง ทำให้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ Industry ทั้งระบบ ทำให้บริษัทต้องเตรียมตั้งรับกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น

สร้างความหลากหลายและคุณค่ารองรับการเปลี่ยนแปลง

นายณัฐพงศ์ คุณากรณ์วงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริษัทเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทจะโฟกัสไปที่ 2เรื่องหลัก คือ การสร้างความหลากหลายและสร้างคุณค่า เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

โดยความ”หลากหลาย” หมายถึง ความหลากหลายทางธุรกิจ เพราะไม่สามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำว่าในอนาคตจะเกิดวิกฤติอะไรขึ้นมาบ้าง สิ่งเดียวที่เอสซีฯทำได้คือการสร้างความหลากหลายทางธุรกิจและสินค้า โดยในหนึ่งธุรกิจจะมีต้องมีความหลากหลายทั้งสินค้าและราคา รวมถึงแหล่งเงินทุน เพราะในยุคนี้แหล่งเงินทุนถือว่ามีความสำคัญมาก  ทั้งแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงิน หุ้นกู้ และจากผู้ร่วมทุน ซึ่งจะทำให้เอสซีฯวิ่งไปข้างหน้าได้ไกลขึ้น

ส่วนเรื่องของ”คุณค่า” การทำธุรกิจอย่างเดียวในยุคปัจจุบันจะเติบโตไม่ได้ จะต้องเติบโตไปกับคนรอบข้าง ทั้งพนักงาน ลูกค้า และสิ่งแวดล้อม

“ในช่วงก่อนเกิดโควิด จะเห็นได้ว่าตลาดคอนโดฯขายดีมาก แต่หลังจากเข้าสู่ช่วงโควิด ตลาดบ้านเดี่ยวกลับมาขายดีและมีการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างรวดเร็วในช่วงปี 2563-2565 และเริ่มดร็อปลงมาช่วงปี 2566 ส่วนตลาดคอนโดฯที่ซบเซาไปในช่วงเกิดโควิด 2-3 ปีแรกก็กลับมาขายได้ดีขึ้น ดังนั้นหากพอร์ตฟอริโอของเอสซีฯไม่มีความหลากหลายพอ ก็จะไม่สามารถสร้างผลประกอบการที่ดีต่อเนื่องได้ เพราะตลาดมีการเปลี่นแปลงอย่างรวดเร็ว”
เปิด 3 KEYWORD “มหาศาล-มั่นคง-สมดุล”ดันรายได้เสซีฯแตะ 150,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี

ดังนั้นเป้าหมายการดำเนินธุรกิจขิงเอสซีฯในช่วง 5 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2567-2571 จะต้องสร้างองค์กรให้มีคุณค่ามากมายให้กับประชาชน เริ่มจากขนาดของธุรกิจต้องมีขนาดใหญ่พอ ดังนั้นสิ่งแรกที่เอสซีฯให้ความสำคัญ คือ “มหาศาล” โดยตั้งเป้ารายได้ในช่วง 5ปีนี้ รวมกันต้องมากกว่า 150,000 ล้านบาทหรือเฉลี่ยปีละ20,000 ล้านบาทปลายถึง 30,000 ล้านบาทต้น โดยจะมาจากบ้านแนวราบประมาณ 18,,000-20,000 ล้านบาท และคอนโดฯประมาณ 8,000-10,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจากมาจากธุรกิจ Engine 2

นอกจากนี้ยังความสำคัญกับ”ความมั่นคง” เนื่องจากธุรกิจอสังหาฯเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง ทำให้ต้องมีความมั่นคงในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง และมีแหล่งเงินทุนที่หลากหลายเพื่อสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ แต่ต้องมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำกว่า 1.5:1

และความ”สมดุล” ต้องมีความสมดุลระหว่างส่วนผสมของกำไรสุทธิจากหลากหลายธุรกิจ โดยสัดส่วนกำไร 75% จะมาจากธุรกิจหลักของบริษัทหรือ Engine 1 คือ การพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อขายทั้งบ้านแนวราบและคอนโดมิเนียม แบ่งเป็นกำไรจากบ้านแนวราบ 50% และคอนโดฯ 25% และกำไรที่เหลืออีก 25% มาจาก Engine 2 หรือธุรกิจ Recuring Income โดยบริษัทจะเข้าไปลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจท่องเที่ยว อีคอมเมิร์ช  อาคารสำนักงานให้เช่า และอพาร์ตเมนท์ให้เช่าในประเทศสหรัฐอเมริกา  ซึ่งในแต่ละปีจะใช้เงินลงทุนใน Engine 2เฉลี่ยปีละ10- 15% ของพอร์ตเงินลงทุนทั้งหมด

รุกตลาดโรงแรม-คลังสินค้า เพิ่มพอร์ตรายได้ประจำ

โดยจะให้น้ำหนักกับการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจท่องเที่ยวและอีคอมเมิร์ชมากที่สุด ทั้งในธุรกิจโรงแรมและคลังสินค้า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และโอกาสในการลงทุน โดยในส่วนของคลังสินค้านั้นตั้งเป้าจะขยายพื้นที่เพิ่มปีละ 1 แสนตารางเมตร ส่วนโรงแรมตั้งเป้าภายใน 5ปี จะมีห้องพักเปิดให้บริการ 1,000-2,000 ห้องทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ พัทยา และกำลังศึกษาตลาดที่ภูเก็ตเพิ่มด้วย

ปัจจุบันมีโรงแรมที่เปิดให้บริการแล้ว 1แห่งที่ย่านนราชวัตร ใช้ชื่อว่า YANH ราชวัตรจำนวน 78 ห้อง  และอยู่ระหว่างพัฒนาและก่อสร้างอีก 3แห่ง ประกอบด้วย ย่านสุขุมวิท 29 ใช้ชื่อโรงแรมว่า KROMO ซึ่งบริหารงานโดย CURIO Collection by Hilton คากว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในปีนี้ ส่วนอีก 2แห่งอยู่ที่เมืองพัทยา โดยการลงทุนจะทั้งการเช่าที่ดินและพัฒนาโรงแรมเอง และการร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์

ส่วนคลังสินค้ามีพื้นที่เช่าที่เปิดให้บริการแล้วและอยู่ระหว่างการก่อสร้างประมาณ 160,000-170,000 ตารางเมตรกระจายอยู่ใน 4ทำเล โดยมีการร่วมทุนกับกลุ่มแฟลซ เพื่อพัฒนาอาคารในรูปแบบ Built to suit ให้แฟลซเช่าพื้นที่ และการร่วมทุนกับนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น เพื่อก่อสร้างแวร์เฮ้าส์ทั้งในรูปแบบ Built to suite และ Ready Built

ผนึกพันธมิตรร่วมลงทุนคอนโดฯ โรงแรม และคลังสินค้า

ทั้งนี้การลงทุนร่วมกับพันธมิตรหลักๆจะเป็นการร่วมลงทุนในคอนโดฯ โรงแรม และคลังสินค้า แต่ในอนาคตอาจจะมีการร่วมทุนในตลาดบ้านแนวราบเพิ่มด้วยในปีหน้าโดยเน้นโปรเจ็กต์ขนาดใหญ่ ทั้งนี้เมื่อประมาณ 4 ปีที่ผ่านมาได้ร่วมทุนกับกลุ่ม Nishitetsu Group บริษัทยักษ์ใหญ่และผู้นำในภูมิภาคคิวชู ซึ่งอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ประเทศญี่ปุ่นร่วมทุนพัฒนาโครงการคอนโดฯร่วมกัน

และล่าสุดได้ร่วมทุนกับพันธมิตรจากญี่ปุ่น คือ “โตเกียว ทาเทโมโน” นำร่องเปิดตัวคอนโดฯเรฟเฟอเรนซ์ สาทร-วงเวียนใหญ่ไปแล้ว และกำลังจะมีโปรเจ็กต์ที่ 2ตามมา โดยอยู่ในขั้นตอนการศึกษารายละเอียดโครงการ และในช่วงไตรมาส 2 นี้จะเปิดตัวพาร์ทเนอร์รายที่ 3 เพื่อร่วมกันพัฒนาโรงแรม นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างเจรจากับพาร์ทเนอร์รายใหม่เพิ่มอีก 2-3 ราย

ปีหน้าเตรียมเปิดบ้านเดี่ยวราคาสูงสุด 200 ล้านบาท

สำหรับแผนการลงทุนในตลาดที่อยู่อาศัยในช่วง 3ปีนี้จะโฟกัสการลงทุนอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นหลัก ปัจจุบันบริษัทมีกลุ่มสินค้าที่หลากหลายระดับราคาครอบคลุมทุกความต้องการของกลุ่มลูกค้า ทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดฯ โดยบ้านเดี่ยวมีสินค้าตั้งแต่ราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาทไปจนถึง 100 ล้านบาท ส่วนในปีหน้าจะเปิดตัวบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ราคาสูงสุดที่ 200 ล้านบาท ขณะที่สินค้าคอนโดฯมีราคาตั้งแต่ 1แสนบาทถึง1ล้านบาทต่อตารางเมตร แพงสุดราคาประมาณ 400-500 ล้านบาทต่อยูนิต

ส่วนสินค้าในกลุ่มทาวน์โฮม บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดต่ำมาก ถือเป็นโปรดักต์ที่บริษัทให้ความสนใจที่จะขยายการลงทุนเพิ่มในปี  2568 ในระดับราคา 2-10 ล้านบาท

โดยจุดเด่นของสินค้าภายใต้แบรนด์ต่างๆของเอสซีฯจะอยู่ที่ ทำเล ต้องเดินทางสะดวก คุณภาพและการบริการต้องดี และความปลอดภัย รวมถึงนวัตกรรม ทั้งสมาร์ท เทคโนโลยี และไอโอทีในโปรดักต์ต่างๆ  ส่วนในปีนี้อยู่ระหว่างพัฒนาระบบ AI เพื่อตอบโจทย์เรื่องความปลอดภัยภายในโครงการ ร่วมกับเจ้าหน้าที่รักษความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมงพร้อมกล้องวงจรปิด เบื้องต้นจะเปิดตัวโครงการนำร่องก่อน 5 โครงการในกลุ่มบ้านแนวราบ

เผยพฤติกรรมคนรุ่นใหม่เน้นเช่ามากกว่าซื้อ
นายณัฐพงศ์กล่าวถึงพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ว่า ปัจจุบันคนร่่นใหม่นิยมเช่าที่อยู่อาศัยมากขึ้นแทนการซื้อ โดยเฉพาะการเช่าคอนโดมิเนียม เนื่องจากปัญหาด้านความมั่นคงทางการเงินยังไม่แข็งแรง อาจจะมีโอกาสกู้ไม่ผ่านสูง ดังนั้นเอสซีฯจึงอยู่ระหว่างศึกษาออฟชั่นเสริมให้กับลูกค้ากลุ่มนี้ 2รูปแบบ คาดว่าจะสรุปผลและเลือกนำมาใช้อย่างเป็นรูปธรรมในช่วงปลายปีนี้กับกลุ่มสินค้าราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท ประกอบด้วย Subscription Model ในรูปแบบการสมัครเป็นสมาชิก แล้วจ่ายค่าสมัครสมาชิกเป็นรายเดือน เพื่อให้สามารถใช้สินค้าและบริการของเอสซีฯ ซึ่งต่างจาการเช่าที่อยู่อาศัยแบบปกติทั่วไป เช่น ลูกค้าสามารถเลือกห้องพักและเปลี่ยนห้องพักได้ในช่วงระยะเวลา 1ปีได้ 2 ครั้ง รวมทั้งได้รับบริการพิเศษบางอย่างจากเอสซีฯด้วย เช่น เลือกใช้บริการ Facilities ในโครงการอื่นได้

ส่วนอีกหนึ่งออฟชันพิเศษจะเป็นในรูปแบบ Rent to Own โดยลูกค้าที่เลือกเช่าห้องชุดในโครงการต่างๆของเอสซีฯ สามารถเปลี่ยนเงินค่าเช่ามาเป็นเงินผ่อนได้ หลังจากที่เช่าอยู่ไปแล้ว 1-2 ปีแล้วสนใจจะซื้อห้องชุดนั้นเป็นทรัพย์สินของตัวเอง

“พฤติกรรมของคนรุ่นใหม่กลุ่ม Younger Generation ยังไม่ยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยเฉพาะการซื้อและโอนที่อยู่อาศัย ยังไม่ใช่คำตอบของชีวิต ต้องได้มีโอกาสเลือกก่อนหรือทดลองอยู่ก่อน ส่วนอีกกลุ่มที่มีปัญหาด้านรายได้ เช่น ปีนี้อาจจะยื่นกู้แล้วไม่ผ่าน แต่ในอีก 1-2ปีข้างหน้าอาจจะมีความพร้อมด้านการเงิน ก็สามารถเลือกเช่าห้องชุดไปก่อน และเมื่อพร้อมก็รับโอนห้องชุดได้”