บันยัน ไทยแลนด์ฯแจงปิด “บันยัน เดอะ รีสอร์ท หัวหิน” ไม่กระทบธุรกิจสนามกอล์ฟ-เรสซิเดนซ์ เหตุแยกธุรกิจชัดเจน ย้ำ 2 ธุรกิจยังมีผลประกอบการดี มั่นใจหลังดึง “ริชมอนทส์ คริสตี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลเอสเตท”บริหารโครงการ ช่วยดันยอดขายพุ่ง พร้อมเตรียมแผนรับมือเศรษฐกิจขาลง-โควิด-19 เชื่อเป็นเพียงผลกระทบระยะสั้น
นายเชิ๊ท คว้อนท์ ประธานกรรมการบริหาร บันยัน ไทยแลนด์ กรุ๊ป ผู้ดำเนินโครงการ “บันยัน เรสซิเดนซ์ วิลล่า หัวหิน” เปิดเผยว่า จากกรณีการปิด “บันยัน เดอะ รีสอร์ท หัวหิน”นั้น ไม่มีผลกระทบต่อธุรกิจของสนามกอล์ฟ“ บันยันกอล์ฟ คลับ หัวหิน” และ “บันยัน เรสซิเดนซ์ วิลล่า หัวหิน” เนื่องจากการบริหารและการประกอบธุรกิจของ 2 กิจการนี้ แยกออกจากบันยันรีสอร์ท อย่างชัดเจน โดยทั้ง 2 ธุรกิจ ยังคงมีผลประกอบการที่ดี ซึ่งในปี 2562ที่ผ่านมา ถือเป็นปีทองของ “บันยัน เรสซิเดนซ์” ที่สามารถขายที่ดินได้ทั้งหมด 7 แปลง และบริษัทฯก็ยังเดินหน้าขายโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง และมีลูกค้าชาวต่างชาติให้ความสนใจเข้ามาเยี่ยมชมโครงการอย่างต่อเนื่องเช่นกัน อีกทั้งยังได้เพิ่มงบประมาณในการโปรโมชั่น “บันยัน เรสซิเดนซ์ วิลล่า หัวหิน” มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการเข้าร่วมเป็น partner กับเอเจนท์ใหญ่อย่าง “ริชมอนทส์ คริสตี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลเอสเตท” เมื่อครึ่งปีหลัง 2562 ที่ผ่านมา คาดว่าจะทำให้ยอดขายโครงการในปี 2563 นี้เพิ่มมากขึ้น
“จากการร่วมมือกับเอเจนท์อย่าง ริชมอนทส์ คริสตี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลเอสเตท เราได้เปิดตลาดในประเทศที่คิดว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายของเรา และวางแผนการขายและการตลาดไปยังกลุ่มประเทศเหล่านั้น ซึ่งในปีนี้เราก็จะยังคง strategy นี้ไว้” นายเชิ๊ท กล่าว
ทั้งนี้แม้ว่าในปี 2562 จะมีรีสอร์ทเพิ่มขึ้นมากมาย แต่ความต้องการของตลาดมีแนวโน้มลดลง และรายได้ค่าเช่าห้องต่อห้องต่อคืนก็ลดลง ยิ่งมีสถานการณ์ไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ โควิด-19 เข้ามา ภาพรวมตลาดยิ่งทรุดลงไปอีก ส่งผลกระทบต่อยอดขายอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย และในเขตภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งทางบันยันฯ ก็ได้รับผลกระทบนี้ด้วยในระยะสั้น แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทได้เตรียมแผนรับมือระยะยาวและมีการเตรียมตัวรับมือสำหรับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงในช่วงเวลาหนี่งที่จะเข้ามาโดยโครงการ “บันยัน เรสซิเดนซ์ วิลล่า หัวหิน” ตั้งอยู่บนพื้นที่ทั้งหมด 1,400 ไร่ แบ่งการพัฒนาเป็นสนามกอล์ฟ ขนาด 18 หลุม “บันยัน กอล์ฟ คลับ”,จำนวน 400 ไร่ และการจัดสรรที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างการเปิดขายในเฟส 1 บนพื้นที่ 93 ไร่เศษ มีแบบบ้านให้เลือก 4 แบบ ขนาดตั้งแต่ 200 ตารางวา ถึง 2 ไร่ ราคาตั้งแต่ 11.9-80 ล้านบาท จำนวน 102 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยจะแบ่งการขายใน 2 รูปแบบ คือแบบ Freehold ราคาที่ดินเฉลี่ย 44,000 บาท/ตาราวา หากเป็นชาวต่างชาติจะซื้อในรูปแบบของ Leasehold เช่าระยะยาว 90 ปี โดยราคาที่ดินเฉลี่ย 36,000 บาท/ตารางวา ซึ่งที่ผ่านมามียอดขายรวมประมาณ 50 ยูนิต ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าต่างชาติ มีลูกค้าคนไทยเพียง 4 ยูนิตเท่านั้น