คัลเลอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ฯเผยภาพรวมตลาดอสังหาฯพัทยายังโตต่อเนื่อง เรียลดีมานด์ระดับบนยังมีกำลังซื้อ เผยความคืบหน้า “อารมณ์ วงศ์อมาตย์”ยอดขายสวนกระแสโควิด-19 ลูกค้ากทม.สนซื้อเก็บเป็นสินทรัพย์ถึง 90% คาดปลายปีกวาดยอดขายกว่า 50% ปี’64 จ่อร่วมทุนอีก 3 โครงการพื้นที่ EEC
นายเฉลิมพล โขนแจ่ม กรรมการผู้จัดการ และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท คัลเลอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯในพัทยาว่ายังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเมื่อการลงทุนของภาครัฐในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(Eastern Economic Corridor : EEC)มีความชัดเจน ก็จะยิ่งทำให้อสังหาฯพัทยาเติบโตและมีมูลค่าเพิ่มมากยิ่งขึ้น สำหรับในช่วงที่โควิด-19 แพร่ระบาด ได้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการที่พัฒนาโครงการระดับกลาง–ล่าง พอสมควร ในขณะที่กลุ่มระดับบนไม่ค่อยกระทบมากนัก และผู้ซื้อที่เป็นเรียลดีมานด์ก็มีกำลังซื้อ เพียงแต่ผู้ประกอบการต้องมีความละเอียด รอบคอบ และต้องปรับตัว ซึ่งการพัฒนาโครงการของบริษัทถือว่าจับตลาดได้ถูกต้อง
“ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาพัทยามีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆโดยเฉพาะหลังจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศมองว่าประเทศไทยมีมาตรฐานด้านสาธารณสุขอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลกและน่าลงทุนอย่างมากนอกจากนี้ รัฐบาลยังมีนโยบายการลงทุนเมกะโปรเจกต์ในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ที่กำลังขับเคลื่อนอย่างเต็มที่ องค์ประกอบที่สำคัญเหล่านี้เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เชื่อมั่นว่าตลาดที่อยู่อาศัยของพัทยายังเป็นที่ต้องการของชาวไทยและชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะซื้อเพื่อเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจหรือเพื่อการลงทุนในอนาคตก็ตาม” นายเฉลิมพล กล่าว
ทั้งนี้ภายหลังจากที่ตนได้ร่วมทุนกับอีก 2 พันธมิตร ก่อตั้งบริษัท คัลเลอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัดขึ้นมาเพื่อพัฒนาโครงการ “อารมณ์ วงศ์อมาตย์” (AROM Wongamat) โดยกลุ่มของตนถือในนาม เอปัส ดีเวลลอปเม้นท์ กรุ๊ป ถือหุ้นสัดส่วน 60% ส่วนนายสมภพ วาณิชเสนี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เออเบิ้ล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการคอนโดฯในทำเลย่านใจกลางเมืองกรุงเทพฯ–พัทยา และกลุ่มนายภาค ธนาอัครชล ผู้พัฒนาโครงการบ้านแบรนด์สิริศา ถือหุ้นกลุ่มละ 20%
โดยโครงการ “อารมณ์ วงศ์อมาตย์” (AROM Wongamat) ตั้งอยู่บนพื้นที่ 8 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบของซูเปอร์ลักชัวรี่คอนโดมิเนียมระดับหรู สูง 55 ชั้น พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 37.50-210 ตารางเมตร ราคา 6.2-51 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ยประมาณ 200,000 บาท/ตาราเมตร จำนวน 319 ยูนิต มูลค่าโครงการเกือบ 3,700 ล้านบาท เดิมมีแผนจะเปิดตัวในช่วงเดือนมีนาคม 2563 แต่จากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้ต้องเลื่อนการเปิดตัวไปในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า โดยในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีลูกค้า Walk-in เข้ามาเยี่ยมชมโครงการมากกว่า 200 ราย และมีการตัดสินใจซื้อมากกว่าที่ตั้งเป้าไว้ แต่ไม่สามารถเปิดเผยตัวเลขได้ โดยกลุ่มผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง เพราะทำเลดังกล่าวหากเทียบกับในกทม.ก็เหมือนกับทองหล่อ ที่ที่ดินหายาก และราคาสูง แต่ผู้ซื้อต้องการครอบครอง หากซื้อเพื่อลงทุนจะไม่คุ้มค่ากับผลตอบแทนการลงทุน โดยสัดส่วนลูกค้าจะมาจากกทม.ประมาณ 90% และที่เหลือเป็นลูกค้าในพื้นที่ คาดว่าจนถึงสิ้นปี 2563 จะสามารถทำยอดขายได้ประมาณ 50% ด้านการก่อสร้างจะเริ่มดำเนินการในไตรมาส 2/2564 ซึ่งคาดว่าจะผ่านการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ภายในปลายเดือนสิงหาคม หรือต้นเดือนกันยายน นี้ และแล้วเสร็จในไตรมาส 4/2567
ทั้งโครงการดังกล่าวถือว่า ตั้งอยู่บนที่ดินฟรีโฮลด์ผืนใหญ่ผืนสุดท้ายบนโค้งหาดวงศ์อมาตย์ ซึ่งบริษัทนซื้อมาเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาในราคาเกือบ 500,000 บาท/ตารางวา ถือว่าเป็นที่ดินที่มีราคาสูงสุดในขณะนี้ ซึ่งปัจจุบันราคาปรับเพิ่มสูงขึ้นมาอีก 25-30% ดังนั้นที่ตั้งโครงการถือเป็นPrime of the Prime Location ตอบโจทย์ในทุกด้าน ทั้งการอยู่อาศัยและการลงทุน ด้วยศักยภาพของเมืองพัทยา ทำให้รัฐบาลกำหนดนโยบายส่งเสริมให้เมืองพัทยาเป็นเมืองหลวงแห่งภาคตะวันออกและศูนย์กลางเศรษฐกิจของอาเซียน เพราะตั้งอยู่ในเขตEEC ซึ่งในอนาคตจะเติบโตเป็นศูนย์กลางการลงทุนอุตสาหกรรมสมัยใหม่ และมีโครงข่ายเส้นทางคมนาคมขนส่งเชื่อมโยงกันแบบไร้รอยต่อ ทั้งทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ และเป็นหนึ่งในพื้นที่นำร่องการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ที่จะพลิกโฉมหน้าของพัทยาไปจากเดิม
“อีกหนึ่งจุดที่ตอกย้ำความแข็งแกร่งของ ‘อารมณ์ วงศ์อมาตย์’ คือความเข้าใจในตลาดและความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง ด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปี เราพบว่าความต้องการตลาดที่พักอาศัยระดับซูเปอร์ลักชัวรีส่วนใหญ่ขับเคลื่อนด้วยเรียล ดีมานด์ คือเป็นกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อไว้เป็นที่พักหลังที่สอง สำหรับการพักผ่อนตากอากาศ และสำหรับลูกค้ากลุ่มนี้หากสามารถพัฒนาโครงการที่สร้างจุดเด่นอันแตกต่างได้ ให้ความอบอุ่นเปรียบเหมือนครอบครัวด้วยการออกแบบที่ผสานเอกลักษณ์ของจุดหมายตากอากาศระดับโลกมารวมไว้ในที่เดียว ก็จะยิ่งดึงดูดความสนใจของลูกค้าได้เป็นอย่างดี” นายเฉลิมพล กล่าว
สำหรับที่ดินที่เหลืออีกประมาณ 4 ไร่ บริษัทฯมีแผนที่จะนำมาพัฒนาในรูปแบบของโรงแรมระดับ 5 ดาว จำนวนกว่า 300 ห้อง มูลค่าการลงทุนประมาณ 3,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบ คาดว่าจะเปิดตัวได้ในปี 2564 แต่ทั้งนี้ต้องดูสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และสถานการณ์ตลาดด้วย ซึ่งพร้อมที่จะปรับแผนพัฒนาในรูปแบบอื่นได้ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้
ด้านนายสมภพ วาณิชเสนี กรรมการผู้จัดการ และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท คัลเลอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ทั้ง 3 กลุ่ม ยังมีแผนพัฒนาโครงการร่วมกันอีก 3 โครงการ ซึ่งจะเปิดตัวในปี 2564 ซึ่งเป็นการพัฒนาในพื้นที่ปริมณฑล และพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ได้แก่
–การพัฒนาคอนโดฯ บริเวณจอมเทียน พื้นที่ 2 ไร่
–โครงการย่านบางบ่อ จ.สมุทรปราการ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 26 ไร่ มีแผนพัฒนาในรูปแบบของทาวน์เฮาส์ มูลค่าโครงการประมาณ 800 ล้านบาท
–โครงการย่านอ.บ้านฉาง จ.ระยอง พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว 1 ชั้น และทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น
“การพัฒนาโครงการร่วมทุนนั้น หากเป็นโครงการแนวราบ จะพัฒนาภายใต้บริษัท บีพีเค พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด แต่ถ้าหากเป็นโครงการแนวสูง จะพัฒนาภายใต้บริษัท เอวา พร็อพเพอร์ตี้จำกัด ส่วนโรงแรมจะพัฒนาภายใต้บริษัท มีวา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ส่วนบริษัท คัลเลอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นมาในการร่วมทุนครั้งแรก”นายสมภพ กล่าวในที่สุด