โจนส์ แลง ลาซาลล์ฯเผยวิกฤติโควิด-19 เป็นปัจจัยเร่งการเติบโตของพร็อพเทค โดยเฉพาะภาคธุรกิจอสังหาฯ-รีเทล เชื่อยังเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญขับเคลื่อนในอนาคต และยกระดับมูลค่าอสังหาฯระยะยาว

นายเด็กซ์เตอร์ นอร์วิลล์ หัวหน้าฝ่ายบริการบริหารอาคารและทรัพย์สิน บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์(ประเทศไทย)จำกัด หรือ JLL เปิดเผยว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อสังหาริมทรัพย์ทุกประเภทมีการใช้เทคโนโลยีอย่างแพร่หลายมากขึ้น โดยเน้นที่ระบบการทำงานอัตโนมัติต่างๆ เพื่อเสริมประสิทธิภาพและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้อาคาร จนเมื่อมาถึงปี 2563 นี้ พบว่า วิกฤติการณ์โควิด-19 เป็นตัวเร่งที่ทำให้มีการพัฒนาและใช้พร็อพเทคอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้นไปอีก ดังจะเห็นตัวอย่างได้จากการตื่นตัวในการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยลดการสัมผัสต่างๆ ในอาคารที่อยู่อาศัย สำนักงาน ศูนย์การค้า และอื่นๆ เพื่อสุขอนามัยทั้งของผู้ใช้อาคารและชุมชน
เดอะปาร์ค โครงการมิกซ์ยูสซึ่งเป็นการร่วมลงทุนระหว่างทีซีซี แอสเซ็ทส์และเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ มีการใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อด้วยระบบแสง UVC นอกเหนือจากการติดตั้งหลอดแสง UVC ซึ่งส่งรังสีกำจัดแบคทีเรียและเชื้อรา ลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคต่างๆ เช่นเดียวกัน บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) ประกาศการใช้เทคโนโลยีฆ่าเชื้อด้วยด้วยระบบแสง UVC ซึ่งบริษัทระบุว่า สามารถป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ถึง 99.9% รวมถึงกรองฝุ่น PM 2.5 ได้ด้วย
ขณะเดียวกันศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์และสยามพารากอน มีการใช้หุ่นยนต์เข้ามาช่วยคัดกรองและตรวจวัดอุณหภูมิลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ โดยหุ่นยนต์ที่ใช้ที่สยามพารากอน ยังทำหน้าที่ตรวจตราและแจ้งเตือนผู้ที่ไม่สวมหน้ากากป้องกัน
แม้เทคโนโลยีต่าง ๆ เหล่านี้ที่เน้นการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค บางเทคโนโลยีอาจค่อยๆ ถูกทยอยเลิกใช้หลังวิกฤติการณ์โควิด-19 สิ้นสุดลง ในขณะที่อีกหลายๆ เทคโนโลยีจะยังคงอยู่ต่อไปในระยะยาว อย่างไรก็จากการที่ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัล ทำให้เชื่อว่า พร็อพเทคจะยังคงเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่ขับเคลื่อนให้มีการจินตนาการถึงความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ต่อไปในอนาคต
“การปฏิบัติการและการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์กำลังเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งพร็อพเทคมีส่วนสำคัญในกระบวนนี้ ทั้งนี้ นอกเหนือจากวัตถุประสงค์ด้านสุขอนามัยและความปลอดภัย พร็อพเทคยังมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในหลากหลายด้านที่มีส่วนในการช่วยลดความเสี่ยงและยกระดับมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ในระยะยาว” นายนอร์วิลล์ กล่าว
เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง หรือ Internet of Things (IoT) บิ๊กดาต้า และ ปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) เริ่มมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ ในการช่วยเสริมสร้างความเป็นเลิศให้กับการปฏิบัติการของอาคาร ที่ต้องสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วต่อความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้น สามารถช่วยลดการใช้ทรัพยากร เพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการทำงาน และความคล่องตัว
Command Center หรือศูนย์ควบคุมส่วนกลางเป็นตัวอย่างหนึ่งของการใช้พร็อพเทคที่มีความซับซ้อนและครอบคลุม เพื่อยกระดับการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้อาคาร โดยมีการใช้ระบบเซ็นเซอร์ที่หลากหลายและเทคโนโลยีการสร้างข้อมูลแผนภาพด้วยคอมพิวเตอร์เพื่อตรวจจับพฤติกรรมของผู้ใช้อาคารและแปลงเป็นข้อมูล จากนั้น ข้อมูลจะถูกนำไปวิเคราะห์เพื่อระบุถึงความต้องการของผู้ใช้อาคาร โดยอาศัยเทคโนโลยีบิ๊กดาต้าและการเรียนรู้ของเครื่อง (machine learning) เพื่อให้เจ้าของอาคารหรือผู้บริหารอาคารสามารถให้บริการหรือตอบสนองความต้องการของผู้ใช้อาคารได้ตรงจุดมากขึ้น
หนึ่งในตัวอย่างของโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังติดตั้ง command center คือ วัน แบงค็อก (One Bangkok) โครงการมิกซ์ยูสที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างขณะนี้ ด้วยพื้นที่อาคารรวม 1.8 ล้านตารางเมตร บนที่ดิน 104 ไร่ โดยทั้งโครงการจะมีระบบโครงสร้างพื้นฐานส่วนกลาง ประกอบด้วยระบบทำความเย็น ระบบรักษาความปลอดภัยแบบรวมศูนย์ ระบบการจัดการน้ำและพลังงาน ควบคุมดูแลโดยศูนย์ข้อมูล (District Command Centre) และเซ็นเซอร์อัจฉริยะกว่า 250,000 ตัว เพื่อการบริหารจัดการและการบำรุงรักษาเชิงรุก
อีกหนึ่งตัวอย่างของโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ที่จะใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอัจฉริยะล้ำสมัยรวมถึงบิ๊กดาต้าในการบริหารจัดการอาคาร คือโครงการมักกะสัน ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการออกแบบในขณะนี้ ทั้งนี้ เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ คาดว่า ทั้งโครงการวัน แบงค็อก และโครงการมักกะสัน จะสร้างมาตรฐานใหม่ด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในวงการอสังหาริมทรัพย์ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
“แม้การใช้พร็อพเทคในประเทศไทยจะเริ่มแพร่หลายมาไม่นานมากนัก แต่การพัฒนาและการใช้ประโยชน์กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วขึ้นอย่างมากในขณะนี้ การที่ผู้ใช้อาคาร-สถานที่เพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ มีความคาดหวังที่สูงขึ้น ทำให้วงการอสังหาริมทรัพย์เริ่มมองหาจุดแข็งใหม่ ๆ ที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้โครงการ นอกเหนือจากจุดแข็งเดิมๆ ที่เน้นให้ความสำคัญกับทำเลเป็นหลัก ทั้งหมดนี้ จะเป็นแรงผลักดันให้เกิดนวัตกรรมใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการกำหนดอนาคตให้กับอสังหาริมทรัพย์ต่อไป” นายนอร์วิลล์ กล่าวในที่สุด