ภายหลังจากที่ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด ผู้ดำเนินงานโครงการบัตรสมาชิก ไทยแลนด์ อีลิท มีแนวคิดที่จะขยายสิทธิประโยชน์รองรับกลุ่มนักลงทุนชาวต่างชาติที่มีคุณภาพและมีกำลังซื้อสูง เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์ ขายโครงการได้เร็วขึ้น สร้างกระแสเงินสด และทำให้ธุรกิจเดินต่อไปได้ด้วยดี รวมทั้งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจต่อภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง จึงจะสนับสนุนให้เอกชนจากภาคอสังหาริมทรัพย์ เสนออีลิทคาร์ดขายร่วมในแพ็กเกจ ผ่านบัตรสมาชิกฯ ในรูปแบบของโปรแกรมพิเศษ “Elite Flexible One” มูลค่า 500,000 บาท สามารถถือครองวีซ่า 5 ปี โดยสมาชิกบัตรฯ จะต้องมีการลงทุนในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมในประเทศไทยที่ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และพร้อมเข้าอยู่อาศัย ที่มีมูลค่ารวมไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท โดยการดำเนินการดังกล่าวจะมีระยะเวลาดำเนินการ 2 ปี (เริ่ม 1 มกราคม 2564 สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2565)
ไม่เห็นด้วยขาย “อีลิทคาร์ด”พ่วงคอนโดฯ
ซึ่งกรณีดังกล่าวเหมือนว่าจะยังไม่ตรงตามจุดประสงค์ของผู้ประกอบการอสังหาฯเสียทีเดียว โดยนายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยว่า ภาครัฐไม่ควรพ่วง “อีลิทคาร์ด” กับการขายคอนโดมิเนียม เพราะการดำเนินการในรูปแบบนี้ไม่ได้ช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯแต่อย่างใด เพราะเป็นการเน้นขายบัตร “อีลิทคาร์ด”มากกว่า ในขณะที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยมากกว่าที่จะได้สิทธิต่าๆที่เสนอมา หรือหากจะให้ถูกต้อง ควรที่จะจูงใจให้ชาวต่างชาติมาซื้ออสังหาฯไทยและแถม “อีลิทคาร์ด” มากกว่า ซึ่งจะทำให้ธุรกิจอสังหาฯเดินหน้าได้มากกว่า ขณะเดียวกันควรฟรีวีซ่า 10 ปี ไม่ใช่เพียง 5 ปี เพราะเป็นระยะเวลาที่น้อยเกินไป เหมาะสำหรับชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยเพียงระยะสั้นเท่านั้น หากจะให้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยระยะยาว ควรเป็นระยะเวลา 10 ปี จะดีกว่า
เพิ่มภาระให้ผู้ประกอบการ-บวกราคาสินค้ากับผู้ซื้อ
นายอธิป พีชานนท์ ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ออกแบบและก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายกกิตติมศักดิ์ สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า การจ่ายเงินเพื่อซื้อ ELITE FLEXIBLE ONE จำนวน 500,000 บาทนั้น ถือเป็นการเพิ่มภาระให้กับผู้ประกอบการ ที่ผ่านการซื้อไปยังลูกค้าชาวต่างชาติ ซึ่งได้เคยคุยกับทางผู้บริหารไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด ไปแล้วหลายครั้ง แต่ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม โดยสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องการคือ ต้องการให้ลูกค้าชาวต่างชาติมาซื้อที่อยู่อาศัยและโอนกรรมสิทธิ์ภายในระยะเวลาที่กำหนด ในมูลค่าตั้งแต่ 10 ล้านบาท และฟรีวีซ่า 10 ปี อยู่ได้ครั้งละ 1 ปี โดยไม่ต้องเสียอะไรเพิ่มเติม เหมือนที่เคยทำไว้ในปี 2540
แนะเพิ่มโควตาต่างชาติซื้อได้60-70%
นายวิทวัส วิภากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAND รัฐบาลไม่ควรอยู่แต่ในกรอบ ควรออกนอกกรอบบ้าง ด้วยการปรับราคาคอนโดมิเนียมในประเทศไทยที่เข้าร่วมโครงการ เป็นโครงการที่พร้อมเข้าอยู่อาศัย ที่มีมูลค่ารวมไม่น้อยกว่า 5 ล้านบาท และควรให้ถือวีซ่านาน 10 ปี ขณะเดียวกันในช่วงโควิด-19 ควรที่จะเปิดโอกาสให้ต่างชาติมาซื้อคอนโดฯได้มากกว่า 49% คือ 60 หรือ 70% ก็ว่าไป เพื่อดึงชาวต่างชาติมาซื้ออสังหาฯได้มากขึ้น เพราะถึงแม้ว่าต่างชาติจะมาซื้ออสังหาฯในไทย แต่เขาก็ไม่สามารถเอากลับไปได้ สำหรับในรายละเอียดภาครัฐจะต้องไปกำหนดเองว่าจะดำเนินการอย่างไรได้บ้าง